Tuesday, November 6, 2012

มวยไชยา

มวยไชยา




มวยไชยา เป็นศิลปะการต่อสู้ของไทยที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องบ้าน เมืองมาตั้งแต่โบราณกาล มวยไชยามีที่มาจาก พ่อท่านมา แห่งวัดทุ่งจับช้าง ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎ์ธานี ซึ่งแต่เดิมก่อนพ่อท่านมาจะเข้าอุปสมบทนั้น ท่านเป็นทหารอยู่ในกรุงเทพฯ ดังนั้นมวยไชยาที่แท้จริงแล้วน่าจะเป็นมวยที่มีที่มาอันยาวไกลยากที่จะสืบ สาวได้

          เหตุที่มวยของ พ่อท่านมา มีชื่อเรียกติดปากว่า “มวยไชยา” นั้นสืบเนื่องจากที่ท่านได้เบื่อชีวิตการเป็นทหารและเบื่อต่อฆราวาสสมบัติ ท่านจึงได้ออกบวชแล้วได้เดินธุดงค์เรื่อยไป จนได้ไปอยู่ที่วัดทุ่งจับช้าง ซึ่งในขณะนั้นเองท่านได้เมตตาถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ของไทยให้กับประชาชนที่ นั่น หนึ่งในลูกศิษย์ของท่าน ก็คือ ท่านพระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองไชยา ณ กาลนั้นเอง มวยไทยสายพ่อท่านมาจึงถูกเรียกขานจนติดปากว่า “มวยไชยา”

พ่อท่านมา (หลวงพ่อมา เจ้าอาวาสวัดทุ่งจับช้าง เมืองไชยา)
พระยาวจีสัตยารักษ์ (เจ้าเมืองไชยา)

อาจารย์ กิมเส็ง (สุนทร ทวีสิทธิ์)

ปรมาจารย์ เขตร ศรียาภัย
ครูทอง เชื้อไชยา (ทองหล่อ ยาและ)
 อาจารย์อมรกฤต ประมวญ หรือ ครูแปรง

 ท่านพระยาวจีสัตยารักษ์ 

       ซึ่งเป็นเจ้าเมืองไชยา ท่านก็ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ลูกๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ นายเขตร ศรียาภัย และหลังจากที่นายเขตร ศรียาภัย ได้ร่ำเรียนจากบิดาคือท่านเจ้าเมืองแล้ว นายเขตร ศรียาภัย ยังได้ร่ำเรียนจากครูมวยอื่นๆอีกรวมแล้วถึง 12 ครู ซึ่งในกาลต่อมาท่านได้ถูกขนานนามว่า “ปรมาจารย์” ซึ่งมวยไชยาตำรับของพ่อท่านมาที่สืบทอดมายังท่านปรมาจารย์เขตร ศรียาภัยนั้น ได้ถูกเกลา ถูกวิคราะห์ ต่อเติมให้เข้ากับยุคสมัยและสามารถใช้ได้ในเหตุการณ์จริง


คชสารควานงวง เป็นกลแก้เตะ โดยการรอจังหวะที่ปรปักษ์เตะเข้าหมายก้านคอหรือชายโครงซ้าย แล้วพุ่งเข้าพิงแข้งในพร้อมคว้าข้อเท้ากระชากให้ล้ม


มวยไชยา 

       ตั้งแต่ครั้งอดีตจะสอนตั้งแต่การป้องกันตัว และจะเป็นการป้องกันตัวแบบ 4 ป.คือ

                                                             ป้อง ปัด ปิด เปิด

   เป็นท่าสำคัญ ท่า 4 ป.ของไชยานั้นจะป้องกันตัวได้ตั้งแต่หัวแม่เท้ายันเส้นผม เมื่อผู้ได้ฝึก 4 ป.จนมีความชำนาญแล้ว จะสามารถเข้าใจและจะรู้ตัวเองว่า ได้ยืนอยู่หน้าประตูของการใช้ลูกไม้ต่างๆ แล้ว
 ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า มวยไชยาเป็นมวยที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัว ดังนั้นมวยไชยาจึงเป็นหนึ่งในสายมวยที่ถูกเลือกให้เป็น กรมทนายเลือก คอยดูแลอารักขาความปลอดภัยพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณ และยังเป็นหนึ่งในสายมวยที่ได้รับฉายา “หมื่นมวยมีชื่อ” เมื่อครั้งที่ นายปล่อง จำนงทอง ใช้ ท่าเสือลากหาง  อันเป็นท่าลูกไม้สำคัญเข้าทุ่มทับนักมวยจากโคราช ลงไปสลบหน้าพระที่นั่งพระพุทธเจ้าหลวง

"ท่าเสือลากหาง" ท่านี้เป็นการเข้าสะกดข่มขวัญ ปรปักษ์ ด้วยอาการอย่างเสือหมอบค่อย ๆ เข้าหาเหยื่อ อย่างระมัดระวัง พร้อมยกมือขึ้นป้องหน้าแสดงอาการสำรวจคู่ต่อสู้ตลอดทั้งตัว

         ดังนั้นสมบัติของชาติชิ้นนี้จึงควรค่าแก่การอนุรักษ์ ส่งเสริม สานต่อให้เป็นรูปธรรม เนื่องจากเป็นวิชาหลวง เป็นของเจ้านายชั้นสูง ไม่ใช่วิชาการต่อสู้ที่ชกกันเพื่อการเลี้ยงชีพเพียงอย่างเดียว ยังหมายถึงปกป้องแผ่นดินเกิด ตลอดจนการอารักขาเบื้องพระยุคลบาทอีกด้วย

         วิชามวยไทยนั้น เป็นศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงของไทย ซึ่งมิได้มีไว้เพื่อแสดงความสวยงามทางศิลปวัฒนธรรม หรือเป็นการต่อสู้กันบนเวทีเท่านั้น แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ ที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน จะเห็นได้จากประวัติศาสตร์นักรบคนสำคัญของไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องร่ำเรียนวิชามวยไทย ก่อนที่จะมาถือดาบสู้รบกับศตรูที่มารุกรานประเทศ เพราะฉะนั้นวิชามวยไทยจึงหมายถึงความปลอดภัยในชีวิต คือผู้ที่นำไปใช้จะต้องได้รับความปลอดภัย สิ่งที่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีคือเอกราชของประเทศไทยที่เราได้อาศัย อยู่ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษมาตราบเท่าทุกวันนี้ ฉะนั้นการสืบทอดและการถ่ายทอดวิชาจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง หากมีข้อบกพร่องแม้แต่เพียงน้อยนิด ย่อมหมายถึงอันตรายต่อชีวิตของผู้ที่นำไปใช้ แต่การที่จะได้มีวิชาดีไว้ปกป้องตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องแลกมาด้วยความอดทน


ศาสตร์เเห่งมวยไชยา
        มวยไทยไชยา เป็นมวยที่มีลีลางดงามแต่แฝงไปด้วยอวัยวุธที่เฉียบคมรวดเร็ว แตกต่างจากมวยไทยในปัจจุบันนี้อย่างมากมาย นอกจากลีลาที่งดงามแล้ว มวยไทยไชยายังประกอบด้วยวิชาการต่อสู้ที่สามารถกระทำได้แม้ว่าในขณะพลาดล้ม ลง (การต่อสู้บนพื้น) จากการต่อสู้ ซึ่งในวิชาพาหุยุทธ์มวยไทยไชยานี้ไม่ได้มีแค่อวัยวุธ หมัด เท้า เข่า ศอกเท่านั้น แต่ยังจะมีวิชาที่ผสมผสานกับอวัยวุธอย่างกลมกลืนจากการ
                       จับ ล็อค หัก ด้วยวิชา ทุ่มทับจับหัก ล้มลุกคลุกคลาน  ประกบประกับจับรั้ง


 และอื่นๆอีกมากมายที่เราท่านทั้งหลายไม่ค่อยพบเห็นกันในปัจจุบันนี้






   ครูแปรงครูมวยไชยาในยุคปัจจุบัน

 อาจารย์อมรกฤต ประมวญ หรือ ครูแปรง ของเหล่าศิษย์มวยไทยทั้ง หลายคือผู้สืบทอดวิชา สานต่อเจตนารมย์จากบูรพาจารย์ที่สืบสายวิชามวยที่ถูกลืมไปตั้งแต่มีกาที่มวย คาดเชือกถูกระงับการแข่งขันให้เปลี่ยนไปใช้กติกาอิงสากล ลูกไม้กลมวย ต่างๆก็สูญหายไปมาก
        ครูแปรง เป็นศิษย์ติดตามใกล้ชิด ครูทอง เชื้อไชยา ผู้สืบทอดวิชามวยไทยไชยานี้มาจาก ปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย(ปรมาจารย์คนสุดท้ายของวงการมวยไทย)ซึ่งได้เรียนวิชาจาก พระยาวจีสัตยรักษ์ เจ้าเมืองไชยาผู้เป็นพ่อ รวมทั้งได้เรียนวิชามวยโบราณจากครูอีก 13 ท่านจนแตกฉาน

ครูแปรง
 วิชามวยไทยไชยา 
         นอกจากมือเท้าเข่าศอกที่เห็นได้ทั่วไปในมวยไทยกระแสหลักแล้วยังมีวิชาที่ถูกลืมอย่างการ        " ทุ่ม ทับ จับ หัก"     ซึ่ง มีความร้ายกาจไม่แพ้วิชาการ ทุ่ม การล๊อคของศิลปะการต่อสู้อื่น หลักมวยอื่น ๆ ยังมีที่เป็นคำคล้องจองแต่มีความหมายลึกซึ้งทุกคำ อย่าง
                    "  ล่อ หลอก หลบ หลีก หลอกล่อ ล้อเล่น " หรือ " กอด รัด ฟัด เหวี่ยง " 


ซึ่งเป็นวิชาการกอดปล้ำแบบหนึ่งซึ่งหาไม่ได้แล้วในมวยไทยสมัยปัจจุบัน หรือแม้กระทั่ง

"  ล้ม ลุก คลุก คลาน "     
ซึ่งเป็นการฝึกม้วนตัว ล้มตัว

        มิติการต่อสู้ของมวยโบราณอย่างมวยไทยไชยานั้นจึงไม่จำกัดเฉพาะการยืนต่อสู้ เท่านั้น การต่อสู้เมื่อจำเป็นต้องล้มลงก็ทำได้ และด้วยพื้นฐานของมวยไทยโบราณที่ถูกสร้างให้ใช้ในการศึกสงคราม การต่อสู้กับศัตรูพร้อมกันหลายคนนั้นเป็นอีกมิติหนึ่งที่ทำให้มวยไทยไชยา เป็นมวยที่ร้ายกาจ
  การเรียนการสอนของมวยไทยไชยานั้นจะเป็นระเบียบระบบแบบโบราณ นักเรียนจะได้เรียนตั้งแต่พื้นฐานวิชา เรียนการป้องกันตัว "   ป้อง ปัด ปิด เปิด " จนสามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างมั่นใจแล้ว ลูกไม้มวยไทยต่าง ๆ ก็จะค่อยได้เรียนรู้ แตกต่างจากมวยไทยกระแสหลักที่ฝึกฝนการโจมตี เตะ ต่อย ทำลาย โดยอาศัยความทนทานเข้ารับลูกเตะต่อยของคู่ต่อสู้ ดั่งที่ครูแห่งมวยไทยไชยานี้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ศิลปะการป้องกันตัวย่อมต้องป้องกันตัวได้จริง ไม่ใช้ศิลปะการแลกกันว่าใครจะทนกว่ากันก็จะเป็นผู้ชนะไป
        ด้วยภูมิปัญหาของครูมวยโบราณที่สั่งสม แก้ไข ปรับปรุงจนวิชามวยไทยดั้งเดิมนั้นร้ายกาจ ด้วยกลเม็ด ลูกไม้ ไม้เด็ด หลากหลาย กลมวยสามารถแตกขยายไปได้เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ในทางกลับกันนั้นการสั่งสอนวิชาอันร้ายกาจนี้ก็ฝึกฝนให้นักเรียนเป็นคนอดทน มุ่งมั่นใจเย็น สุขุม จนในท้ายที่สุดแล้ววิชามวยแห่งการต่อสู้นี้เป็นอุปกรณ์พัฒนานักเรียนให้เป็น คนดีของสังคม ที่มีสติ ควบคุมกายให้ประพฤติตนดี มีครูสอนสั่ง
        ครูแปรง ได้วางแผนการสอนวิชาอาวุธที่คู่กับมวยไทยไชยาที่ รู้จักกันในชื่อ วิชากระบี่กระบองซึ่งมีวิชา ดาบสองมือ มีดสั้น พลองยาว ไม้ศอก รวมถึงอาวุธไทยโบราณแบบอื่นๆที่ไม่น่าจะหาเรียนได้ที่ไหนง่ายๆ เพื่อให้ครบหลักสูตรวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวของไทยโดยแท้


การแต่งกายของนักมวย


 นักมวยนุ่งกางเกงขาก๊วย ไม่ใส่เสื้อ ใช้ผ้ามวนพันหุ้มแทนกระจับเรียกโละโปะ หรือลูกโปก ไม่ใส่นวม แต่ใช้ด้ายดิบพันมือ สวมมงคลแม้ในขณะชก


การฝึกมวยไชยา


การเรียนการสอนของมวยไทยไชยานั้นจะเป็นระเบียบระบบแบบโบราณ นักเรียนจะได้เรียนตั้งแต่พื้นฐานวิชา เรียนการป้องกันตัว " ป้อง ปัด ปิด เปิด " จนสามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างมั่นใจแล้ว ลูกไม้มวยไทยต่าง ๆ ก็จะค่อยได้เรียนรู้ แตกต่างจากมวยไทยกระแสหลักที่ฝึกฝนการโจมตี เตะ ต่อย ทำลาย โดยอาศัยความทนทานเข้ารับลูกเตะต่อยของคู่ต่อสู้ ดั่งที่ครูแห่งมวยไทยไชยานี้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ศิลปะการป้องกันตัวย่อมต้องป้องกันตัวได้จริง


การฝึกมวยไชยา 5 ขั้นตอน



1.พื้นฐานมวยไทยไชยาเบื้องต้น (Basic MUAYCHAIYA) หลักการมวยไชยา ท่าฝึกเบื้องต้น การจรดมวย


2.พื้นฐานการเคลื่อนไหว (Basic Movement) ท่าเคลื่อนไหวพื้นฐาน ย่างสามขุม บุก หลบหลีก ล่อหลอก


3. พื้นฐานการใช้อาวุธ (Basic Offence) การออกอาวุธ หมัด เท้า ศอก เข่า แขน แข้ง ขา


4. พื้นฐานการป้องกัน (Basic Defense) การป้องกันอาวุธ ป้อง ปัด ปิด เปิด


5. การป้องกันตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ (Practical Situation Self Defense) การป้องกันตัวในสถานการณ์คับขัน การเอาตัวรอดจากการถูกล็อค หรือถูกประทุษร้ายในลักษณะต่าง ๆ

 การฝึกเดินพลิกเหลี่ยมสามขุมขั้นต้น
การฝึกหัดมวยไชยา ปีนป่าย

มวยท่าเสา

มวยท่าเสา



 มวยท่าเสาของอุตรดิตถ์ 
นับเป็นแม่ไม้มวยไทย ที่มีความโดนเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว  โดยมีครูเมฆเป็นปรมาจารย์ซึ่งก็ได้ส่งเสริมให้อนุรักษ์ไว้ โดยคณะศิษย์มวยท่าเสาและมวยพระยาพิชัยดาบหัก 
 มวยท่าเสา เป็นแบบการต่อสู้ข้าศึกของพระยาพิชัยดาบหัก  การจดมวยท่าเสาจะกว้างและใช้น้ำหนักตัวไปด้านหลังเท้าหน้าจะสัมผัสพื้นเบาๆ   ทำให้ออกไม้มวยได้ไกล รวดเร็วและรุนแรงในการต่อสู้   หมัดหน้าจะไกลจากหน้าและสูงกว่าไหล่หมัดหลังจะต่ำ ผ่อยคลาย บริเวณขากรรไก

ปรัชญาและกลยุทธ์ของมวยพระยาพิชัยดาบหักที่ต้องพิชิตข้าศึกให้เร็วที่สุด  ด้วยการ
 เผด็จศึกอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 
มวยพระยาพิชัยดาบหักเป็นทั้งมวยอ่อนและมวยแข็ง สามารถรุกหรือรับตามแต่สถานการณ์ รู้วิธีรับก่อนรุก เรียนแก้ก่อนผูก เรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเองและคู่ต่อสู้

ไม้มวยพระยาพิชัยดาบหักมีทั้งหมดไม่น้อยกว่า ๕๓๕ ไม้ด้วยกัน คือ  ไม้หมัด ไม่น้อยกว่า ๑๓๔ ไม้ ไม้ศอก ไม่น้อยกว่า ๑๔๐ ไม้ ไม้เข่าไม่น้อยกว่า ๖๒ ไม้ ไม้ถีบ ไม่น้อยกว่า ๕๙ ไม้ ไม้เตะ ไม้น้อยกว่า ๑๐๑ ไม้ ไม้หัว ไม่น้อยกว่า ๓๙ ไม้ (ใช้เฉพาะวงใน)
 
 

แม่ไม้มวยไทย ๑๕ ท่า

แม่ไม้มวยไทย ๑๕ ท่า






แม่ไม้มวยไทย ๑๕ ท่า
แม่ไม้มวยไทยที่สำคัญขนาดยอดเยี่ยม โบราณาจารย์ผู้ทรงคุณ ท่านได้จัดแบ่งไว้ ๑๕ ท่า คือ
 การใช้ หมัด ศอก เข่า เท้า มีทั้งรุก และรับ ในจังหวะสถานการณ์ต่าง ๆ กันตั้งเป็นชื่อกล ต่าง ๆ เพื่อการจดจำ
แม่ไม้มวยไทย ๑๕ ท่า
๑.สลับฟันปลา                                                     รับวงนอก
๒.ปักษาแหวกรัง                                                  รับวงใน
๓.ชวาซัดหอก                                                      ศอกวงนอก
๔.อิเหนาแทงกฤช                                                ศอกวงใน
๕.ยกเขาพระสุเมรุ                                                ต่อยตั้งหมัดต่ำก้มตัว ๔๕ องศา
๖.ตาเถรค้ำฟัก                                                      ต่อยคางหมัดสูงก้มตัว ๖๐ องศา
๗.มอญยันหลัก                                                    รับต่อยด้วยถีบ
๘.ปักลูกทอย                                                         รับเตะด้วยศอก
๙.จระเข้ฟาดหาง                                                   รับต่อยด้วยเตะ
๑๐.หักงวงไอยรา                                                  ถองโคนขา
๑๑.นาคาบิดหาง                                                   บิดขาจับตีเข่าที่น่อง
๑๒.วิรุณหกกลับ                                                   รับเตะด้วยถีบ
๑๓.ดับชวาลา                                                        ปัดหมัดต่อยตอบ
๑๔.ขุนยักษ์จับลิง                                                  รับ-เตะ-ต่อย-ถอง
๑๕.หักคอเอราวัณ                                                 โน้มคอตีเข่า
กลแม่ไม้มวยไทย
กล ๑ สลับฟันปลา (รับวงนอก)


แม่ไม้กล ๑ นี้ เป็นไม้หลักหรือไม้ครูเบื้องต้น ใช้รับและหลบหมัดตรงของคู่ปรปักษ์ที่ชกนำอย่างรุนแรง และหนักหน่วง หลบออกวงนอก นอกลำแขนของคู่ปรปักษ์ ทำให้หมัดตรงของผู้ชกเลยหน้าไป
ก. ฝ่ายรุกชกด้วยหมัดตรงซ้าย พร้อมกับตัวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า หมายชกบริเวณใบหน้าของฝ่ายรับ
ข. ฝ่ายรับ ก้าวเท้าขวาหลบไปทางกึ่งขวา ๑ ก้าว พร้อมทั้งโน้มตัวเอนไปทางขวาประมาณ ๖๐ องศา น้ำหนักตัวอยู่บน เท้าขวา ขาขวางอเล็กน้อย ศีรษะและตัวหลบออกวงนอกของหมัดฝ่ายรุก ทันใดใช้มือขวาจับกำคว่ำที่แขนท่อนบน ของฝ่ายรุก มือซ้าย จับ กำ หงาย ที่ข้อมือของฝ่ายรุก (ท่าคล้ายจับหักแขน)
กล ๒ ปักษาแหวกรัง (รับวงใน)


ก. ฝ่ายรุกชกใบหน้าฝ่ายรับด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าสืบไปข้างหน้า เฉียงไปทางกึ่งซ้ายเล็กน้อยภายในแขนซ้ายของฝ่ายรุก ตัวเอนประมาณ ๖๐ องศา น้ำหนักตัวอยู่บนเท้าซ้าย ทันใดให้งอแขนทั้ง ๒ ขึ้น ปะทะแขนท่อนบนและท่อนล่างของฝ่ายรุกไว้โดยเร็ว หมัดของ ฝ่ายรับทั้งคู่ ชิดกัน (คล้ายท่าพนมมือ) ศอกกางประมาณ ๑ คืบ ศีรษะและใบหน้ากำบังอยู่ระหว่างแขนทั้งสอง ตาคอย ชำเลืองดูหมัดขวา ของฝ่ายรุก
กล ๓ ชวาซัดหอก (ศอกวงนอก)


ก. ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดตรงซ้ายยังบริเวณใบหน้าของฝ่ายรับ พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าเอนตัวไปทางกึ่งขวา ตัวเอนประมาณ ๓๐ องศา น้ำหนักตัวอยู่บนเท้าขวา ทันใดรีบงอแขนซ้าย ใช้ศอกกระแทก ชายโครงใต้แขนซ้ายของฝ่ายรุก
กล ๔ อิเหนาแทงกฤช (ศอกวงใน)


ก. ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า ตัวเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อยตัวเอนประมาณ ๖๐ องศา น้ำหนักตัวอยู่บน เท้าซ้าย งอศอกขวา ขนานกับพื้น ตีระดับชายโครงฝ่ายรุก ตอบด้วยแขนซ้าย
กล ๕ ยกเขาพระสุเมรุ (ต่อยตั้งหมัดต่ำก้มตัว ๔๕ องศา)


ก. ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าขวาพร้อมกับย่อตัวต่ำเข้าหาฝ่ายรุก งอเข่าขวา ขาซ้ายตึง ย่อตัวต่ำเอนไปข้างหน้าประมาณ ๔๕ องศา น้ำหนักตัวอยู่บนขาขวา ทันใดนั้น ให้ยืดเท้าขวายกตัวเป็นแหนบ พร้อมกับพุ่งหมัดชกขวาเสยใต้คางของฝ่ายรุก หน้าเงยดูคาง ของฝ่ายรุก แขนซ้ายกำบังอยู่ตรงหน้าเสมอคาง
กล ๖ ตาเถรค้ำฟัก (ต่อยคางหมัดสูงก้มตัว ๖๐ องศา)


ก. ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้าของฝ่ายรุก ทางกึ่งขวาของวงหมัดภายในของฝ่ายรุกที่ชกมา งอเข่าซ้าย เล็กน้อยใช้หมัดซ้าย ชกใต้คางของฝ่ายรุก แล้วใช้แขนยวาที่งอป้องหมัดซ้ายฝ่ายรุกที่ชกมาให้พ้นตัว
กล ๗ มอญยันหลัก (รับต่อยด้วยถีบ)


ก. ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า
ข. ฝ่ายรับ ผลักตัวเอนไปทางขวา เอนตัวหนีฝ่ายรุกประมาณ ๔๕ องศา ยืนบนเท้าขวา แขนทั้ง ๒ งออยู่ตรงหน้า เหลียวดู ฝ่ายรุก ทันใดนั้น ยกเท้าซ้ายถีบที่ยอดอก หรือท้องน้อยของฝ่ายรุกให้กระเด็นห่างออกไป
กล ๘ ปักลูกทอย (รับเตะด้วยศอก)


ใช้รับการเตะกราดของคู่ต่อสู้ โดยใช้ศอกรับสลับกัน
ก. ฝ่ายรุก ยืนตรงหน้าพอได้ระยะเตะ ยกเท้าขวาเตะกราดไปยังบริเวณชายโครงของฝ่ายรับ จากขวาไปซ้าย โน้มตัว เล็กน้อย งอแขนทั้ง ๓ ป้องกันตรงหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบผลักตัวไปทางซ้าย พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายฉากไปข้างหลัง ใช้แขนขวางอศอกขึ้นรับเท้าของฝ่ายรุกที่เตะมา แขนซ้ายงอป้องกันอยู่ตรงหน้าสูงกว่าแขนขวาเพื่อป้องกันพลาดถูกใบหน้า
กล ๙ จระเข้ฟาดหาง (รับต่อยด้วยเตะ)


แม่ไม้นี้ใช้ส้นเท้าฟาดไปทางด้านหลัง เมื่อคู่ต่อสู้พลาดแล้วถลันเสียหลัก จึง หมุนตัวเตะด้วยลูกเหวี่ยงส้นเท้า
ก. ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับสืบเท้าซ้ายไปข้างหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าขวากระโดดไปทางกึ่งขวา ให้พ้นหมัดฝ่ายรุก แขนงอกำบังตรงหน้าแล้วใช้เท้าซ้าย เป็นหลักหมุนตัว เตะด้วยส้นเท้าขวาบริเวณท้องหรือคอ

กล ๑๐ หักงวงไอยรา (ถองโคนขา)


ก. ฝ่ายรุก ยกเท้าขวาเตะกราดไปยังชายโครงของฝ่ายรับ งอแขนทั้ง ๒ บังอยู่ตรงหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าขวาเข้าหาฝ่ายรุกตรงหน้าเกือบประชิดตัว ข้างตัวไปทางซ้าย เข่าขวางอ เท้าซ้ายเหยียดตรง ทันใด เอามือซ้ายจับเท้าขวาของฝ่ายรุก ต้องพยายามยกขาฝ่ายรุกให้สูง กันฝ่ายรุกใช้ศอกถองศีรษะ
กล ๑๑ นาคาบิดหาง (บิดขาจับตีเข่าที่น่อง)


ก. ฝ่ายรุก ยกเท้าขวาเตะกราดไปยังบริเวณชายโครงของฝ่ายรับ แขนทั้ง ๒ งออยู่ตรงหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบผลักตัวไปทางซ้าย ยืนบนเท้าซ้าย มือซ้ายจับส้นเท้าของฝ่ายรุก มือขวาจับที่ปลายเท้าบิดออกนอกตัว ทันใดนั้น รีบยกเข่าขวาตีที่น่องของฝ่ายรุก
กล ๑๒ วิรุณหกกลับ (รับเตะด้วยถีบ)


แม่ไม้นี้ ใช้รับการเตะโดยใช้ส้นเท้า กระแทกที่บริเวณโคนขา
ก. ฝ่ายรุก ยกเท้าซ้ายเตะกลาง ลำตัวบริเวณชายโครงของฝ่ายรับ
ข.ฝ่ายรับ รีบยกเท้าซ้ายถีบไปที่ บริเวณโคนขาซ้ายของฝ่ายรุกพร้อมยกแขน ทั้งสองกันด้านหน้า การถีบนั้นต้องถีบให้เร็ว และแรงถึงขนาด ฝ่ายรุกหมุนกลับเสียหลัก


กล ๑๓ ดับชวาลา (ปิดหมัดต่อยตอบ)


แม่ไม้นี้ใช้แก้การชกด้วยหมัด ตรงโดยชกสวนที่ใบหน้า 
ก. ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายไปยังบริเวณใบหน้าของฝ่ายรับ พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า แขนขวาคุมบริเวณ ปลายคาง
ข. ฝ่ายรับ ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้ากึ่งขวาหลบอยู่นอกหมัดซ้ายของฝ่ายรุก เอี้ยวตัวไปทางขวา ปัดและกดแขนซ้าย ของฝ่ายรุกที่ชกมา ให้เอนไปทางซ้าย กดให้ต่ำลง ทันใดรีบใช้หมัดซ้ายต่อย บริเวณปากครึ่งจมูกครึ่ง หรือที่เบ้าตา ของฝ่ายรุก แล้วพุ่งตัวโดด ไปทางกึ่งขวา
กล ๑๔ ขุนยักษ์จับลิง (รับ - ต่อย - เตะ - ถอง)
ไม้นี้เป็นไม้สำคัญมาก ใช้แก้ลำคู่ต่อสู้ที่ไวในการต่อย เตะ ถอง ติดพันกัน การปฏิบัติ แบ่งออกเป็น ๓ ตอน
ตอนที่ ๑


ก. ฝ่ายรุก พุ่งหมัดซ้ายตรงไปยังใบหน้าของฝ่ายรับ พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า
ข. ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าซ้ายสืบเท้าเข้าหาตัวฝ่ายรุกตรงหน้า แขนขวาปัดแขนซ้ายฝ่ายรุกให้พ้นจากตัว
ตอนที่ ๒


ก. ฝ่ายรุก ยกเท้าขวาเตะกราดบริเวณชายโครงของฝ่ายรับ
ข.ฝ่ายรับ รีบผลักตัว ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง ราวกึ่งซ้ายย่อตัวใช้ศอกขวาถองที่ขาขวาท่อนบนของฝ่ายรุก
ตอนที่ ๓


ก. ฝ่ายรุก งอแขนขวาโน้มตัวถองชกศีรษะของฝ่ายรับ
ข. ฝ่ายรับ รีบยืดตัว งอแขน ให้แขนท่อนบนปะทะแขนท่อนล่างของฝ่ายรุก แล้วรีบผลักตัว ก้าวเท้าขวาไปทางหลัง ประมาณกึ่งขวา
กล ๑๕ หักคอเอราวัณ (โน้มคอตีเข่า)


ก. ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับสืบเท้าซ้ายไปข้างหน้า หมัดขวาคุมอยู่บริเวณคาง
ข. ฝ่ายรับ ก้าวเท้าซ้ายสืบไปตรงหน้าฝ่ายรุกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกแขนขวาสอดปัดแขนซ้ายของฝ่ายรุก แล้วโดด เข้าเหวี่ยงคอฝ่ายรุก โน้มลงมาโดยแรง แล้วตีด้วยเข่าบริเวณใบหน้า

ประวัติมวยไทย ๔ ภาค

ประวัติมวยไทย ๔ ภาค

....รัชสมัยกรุงธนบุรี ต่อเนื่องถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ชนชาวสยาม เป็นปึกแผ่น รวมเขตแดน รวมแผ่นดินได้มากแล้ว แต่ยังไม่ว่างเว้น จากศึกสงครามใหญ่น้อย ภัยรอบบ้าน เรื่องการฝึกปรือ กลมวย เพลงดาบ จึงนับได้ว่าเป็นศิลปะประจำชาติที่สำคัญ ซึ่งคนไทยโดยทั่วไป ใส่ใจ และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว จึงได้เกิด สำนักมวย สำนักดาบ ขึ้น แม้แต่ในพระมหาราชวัง ก็ยังมีการเรียนการสอน กระบี่กระบอง วิชามวย และพิชัยสงคราม อันเป็นหลักสูตรสำคัญ โดยเฉพาะมวยไทย ที่มีรูปแบบการใช้อวัยวะเป็นอาวุธ ทั้ง หมัด เท้า เข่า ศอก คล้ายคลึงกันทั่วประเทศ แต่ถึงกระนั้น ด้วยความเป็นชนชาติอิสระ และมีภูมิปัญญา วิชามวย ก็ได้แตกแขนง แบ่งกลุ่ม แบ่งภาค กันออกไปอย่างเด่นชัด ทั้งท่ารำร่ายไหว้ครู รูปแบบลีลาท่าย่าง ท่าครู แม่ไม้ ลูกไม้ อีกทั้งความชำนาญเรื่อง การจัก สาน ร้อย ทำให้การคาดเชือก ถักหมัด มีรูปแบบเฉพาะตัวอีกมากมาย โดยหลักใหญ่แบ่งได้ตามภูมิภาค คือ





ภาคเหนือ 

มวยท่าเสา มวยเม็งราย มวยเจิง ฯลฯ มวยท่าเสา เป็นมวยเชิงเตะ คล่องแคล่ว ว่องไว ทั้งซ้ายขวา จนได้ฉายา มวยตีนลิง คาดเชือกประมาณครึ่งแขน

มวยเจิง
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop

ภาคอีสาน
 มวยโคราช มวยหลุม ฯลฯ มวยโคราช ลักษณะการ เตะ ต่อย เป็นวงกว้าง นิยม คาดเชือก ขมวดรอบแขนจนจรดข้อศอก เพื่อใช้รับการเตะ ที่หนักหน่วงรุนแรง
มวยโคราช
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop
ภาคกลาง 
มวยลพบุรี มวยพระนคร ฯลฯ มวยลพบุรี ลักษณะการชก ต่อย วงใน เข้าออกรวดเร็ว เน้นหมัดตรง การคาดเชือก จึงคาดเพียงประมาณครึ่งแขน

มวยพระนคร
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop

ภาคใต้ 
มวยไชยา ฯลฯ มวยไชยา ลักษณะการรุก-รับ รัดกุม ถนัดการใช้ศอกในระยะประชิดตัว การคาดเชือกจึงนิยมคาดเพียง คลุมรอบข้อมือ เพื่อกันการซ้น หรือเคล็ด เท่านั้น
มวยไชยา
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop

เคล็ดวิชา มวยไทย ขั้นสูง

ประตูสู่ ปิติ และ ศรัทธา ของมวยไทย
มีสำนักมวยไทยหลายสำนัก กล่าวถึง ปิด เปิด ทำให้เข้าใจว่า ปิด เปิด เป็นการปิด(บัง)อาวุธที่คู่ต่อสู้กระทำ หรือปิดจังหวะกระทำ แล้ว เปิด โอกาส(จังหวะ)ให้เราตอบโต้ แต่ จะมีใครรู้ถึงความหมายลึกซึ้งของ การปิดเปิด ซึ่งครูใช้พร่ำสอนเรามาแต่โบราณ..ยิ่งเมื่อสืบค้นไปถึงศิลปะการต่อสู้ของชนเผ่าไท ทุกเผ่า รวมถึงชื่อท่า ของ การร่ายรำ การแสดง การรำดาบ หรืออาวุธ มีการใช้คำ ปิด เปิด ไว้สำหรับการแสดงความเคารพ หรือลำดับแรกของกิจกรรม..ยิ่งน่าฉงนนักเมื่อพบว่า มีการกล่าวถึง ท่า ปิด เปิด บัวบาน ในการแสดง โมงครุ่ม การรำฟ้อนเล็บ ฟ้อนดาบ รำมโนราห์..ว่า การ ปิด เปิด นี้ สำคัญยิ่งนัก เพราะใช้เป็นท่าครูหรือท่าเคารพ แสดงให้เห็นถึง ปิด เปิด ที่กระจายอยู่ทุกภาคและมีที่มาที่น่าสืบค้นต้นทางยิ่ง..และคงมิใช่แค่การปิด เปิด ที่เราเข้าใจกัน..และถ้าผมจะบอกว่า ปิด เปิด นี้ คือ ประตูสู่การฝึกจิตที่จะสร้าง ปิติ หรือ ต้นทางของศรัทธา หรือ จิตวิญญานมวยไทย..ท่านจะเชื่อ หรือมั้ย..
การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่
..การต่อสู้กับผู้อื่น..มิยิ่งใหญ่ เท่า การต่อสู้ กับ ตนเอง..ผู้ใด รู้จักใช้ หมัด เท้า เข่า ศอก บวกเข้ากับ ศิลปะแม่ไม้มวยไทย ขับเคลื่อน กายคตานุสติ ได้เหมาะสม ย่อมเกิดพลวัตรอันยิ่งใหญ่ ประกอบเข้าเป็น จิตวิญญานมวยไทย ที่บุรพาจารย์คิดค้นไว้เพื่อเป็น มรดกสำหรับลูกหลานไทย..การต่อสู้ คือ จุดทดสอบ ของกาลเวลา..ประสบการณ์จาก ความพ่ายแพ้ มีคุณค่า มากกว่า ชัยชนะ ยิ่งนัก..มีชีวิต..จึงมี การต่อสู้.
.เทคนิคการถ่ายทอดวิชามวยไทยของบุรพาจารย์
original_anigif.gif
...ครู มวยไทยสมัยโบราณ(ร.๓) ได้ใช้เทคนิคการถ่ายทอดวิชาที่ทันสมัยมากโดยได้วาดรูปที่สามารถแสดงการ เคลื่อนไหวคล้าย การทำไพ่ แล้วนำมาซ้อนกันเพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวเสมือนดูภาพยนต์ ตั้งแต่สมัยเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน เทคนิคนี้น่าจะเลียนแบบมาจาก ชาวจีน ในรูป เป็นการนำภาพมาประกอบในลักษณะแอนิเมชั่นกิฟ แสดงการต่อสู้ด้วย ลูกไม้แก้ ด้วย ท่ามอญยันหลัก


จิตวิญญาณมวยไทย คืออะไร?
. .....คนไทย มี จิตวิญญาณของความเป็นมิตร ความโอบอ้อมอารี ความกล้าหาญ ความเสียสละ ความเรียบง่าย ความอ่อนน้อม และ ความอดทน อดกลั้น เป็นพื้นฐาน และนี่ คือ
..จิตวิญญาณของมวยไทย ที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้ เช่นกัน
ผม เคยพูดซ้ำๆ หลายครั้ง เรื่อง จิตวิญญาณมวยไทย หลายท่านที่ไม่เคยชกมวยไทย หรือ ฝึกมวยไทย (นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายของ คนไทย)อาจจะไม่เข้าใจ หรือสงสัยว่า มันสำคัญอย่างไร?..ฝรั่งว่า คนเรามี จิตใจ(Ego) เป็นตัวควบคุมพฤติกรรม ซึ่งทำให้รู้ผิดชอบชั่วดี..และจำต้องหมั่นฝึกฝนให้มีตัวควบคุมที่เข้มแข็งกำกับอีกชั้นหนึ่ง(Super Ego)เพราะมิเช่นนั้น สัญชาตญาน(Id)จะ ชักพาให้ไปทางเสื่อม ทางพุทธะ เรียกว่า กิเลศตัณหา ..การได้ฝึกฝน มวยไทย ซึ่งช่วยบ่มเพาะ ความอดทน อดกลั้น ความกล้าหาญ ความกตัญญู และความมีไมตรี ผนวกเข้ากับ ศาสตร์การเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ อันสร้างเสริมสุขภาพกาย ใจ..(แต่มีนักมวยไทยอาชีพ หลายคน ประพฤติตนไม่เหมาะสม เพราะ ต้นทุนของตนต่ำ บวกกับ การบ่มเพาะที่ผิดๆ จากค่ายมวยที่ขาดความรับผิดชอบ)..ดังนั้น เมื่อเราฝึกฝน มวยไทย และอยากให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เราต้องไม่ละเลยเรื่อง การพัฒนาจิตวิญญานมวยไทย เพราะ จิตวิญญาณ นี้จะเป็นตัวควบคุมกำกับเรา (สติ)ในทุกสภาวการณ์
..เคล็ดวิชา มวยไทย ขั้นสูง
....เพื่อเป็นมรดกแก่ลูกหลานไทยและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้สนใจใฝ่ศึกษา ศิลปะการต่อสู้ ….
ความเป็นหนึ่งเดียว คือ ความแข็งแกร่งที่สมบูรณ์แบบของ ตัวตน (อัตตา) ก่อนจะพัฒนาไปสู่ ความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ความเป็นหนึ่งเดียว ของ กาย + จิต + พหุยุทธ์มวยไทย
คือ สุดยอดพหุยุทธ์ หมาย ถึง ความสามารถที่จะรับมือกับสภาวะการณ์ของการจู่โจมตีทุกรูปแบบ ด้วยความมั่นคง แข็งแกร่ง แปรเปลี่ยนได้ เต็มประสิทธิภาพของ สังขาร ความเป็นหนึ่งเดียว คือ องค์รวมของ กาย+จิต+พหุยุทธ์มวยไทย ซึ่งจะทำหน้าที่หมุนเวียนเกื้อกูลต่อกัน การก่อตัวของความเป็นหนึ่งเดียว จะค่อยๆ สร้าง ความแน่นหนา แข็งแกร่ง อันเป็นสมรรถนะสูงสุดของกาย+จิต+พหุยุทธ์มวยไทย จากความเทอะทะ อ่อนยุ่ย หลวม หวาดหวั่นจนถึงจุดสูงสุดของ สมบูรณสภาวะ คือ ความคล่องแคล่ว รัดกุม สมดุล มั่นคง ความเป็นหนึ่งเดียว จะถูกขับเคลื่อนไปจนกว่า กายสังขาร จะถูกเผาผลาญด้วย พลังอันบริสุทธิ์ของ จิต ทั้งในระดับภายในกายย่อยของมันเองและ จิตที่เป็นองค์รวม(วิญญาณ) การเผาผลาญนี้ ในช่วงต้น มีศักยภาพในการสร้างอนุพันธ์ของ กายย่อยละเอียด ขึ้น มาทดแทน กายย่อยที่ยังไม่สมบูรณ์ จนเมื่อถึงที่สุดของสภาวะ กายย่อยละเอียดที่คงที่ จะถูกเผาผลาญไปโดยไม่มีการทดแทน ทำให้เข้าสู่สภาวะเป็น ศูนย์ กลุ่มกายย่อยละเอียดจะมีสมรรถภาพสูงสุดและสร้างสมดุลสภาวะของการปรับตัวให้ สอดคล้องกันกับ กายสังขารและ จิต
องค์ประกอบที่สำคัญของ ความเป็นหนึ่งเดียว
๑.ฐาน รูปกาย
๒.ฐานจิต
๓.ฐาน มวยไทย
๔.ฐาน ปัจจัย ๔
องค์ประกอบทั้ง ๔ ฐาน ต้องผสมผสานให้สมดุล
ฐานรูปกาย ฐานจิต และ ฐานปัจจัย ๔ มีความสัมพันธ์กันกับ หลักความสมถะ คือ มีความพอเพียง พอประมาณ และมีความเกี่ยวโยงกับ สติ ดังนี้
สติ เกิดจาก จุดสัมพันธ์ เกิดจาก วงจรระบบประสาท เกิดจาก เคมีภายในร่างกาย เกิดจาก การปรับสมดุล เกิดจาก เคมีภายนอก
.....ต่อ ไปนี้เป็นการรวบรวมรายชื่อสารอาหาร ที่ผมได้พยายามศึกษารวบรวมจากประสบการณ์ตรง ขอเรียนว่า ที่กล่าวไปเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างการศึกษา และขึ้นอยู่กับ กฎของการใช้ยา ที่สำคัญ คือ ลางเนื้อ ชอบ ลางยา....
สารอาหารจากสัตว์และพืช(เคมีภายนอก) ที่อาจมีส่วนเสริมช่วย ในการฝึก พหุยุทธ์มวยไทย ได้แก่
- เนื้อโค ช่วยการซ่อมแซมเนื้อเยื่อทำให้เกิดความสงบไม่ฟุ้งซ่าน
- ปลาไหล ปลาดุก ไข่สด ช่วยการซ่อมแซมและบำรุงเนื้อเยื่อ เอ็น ข้อต่อ น้ำเมือก น้ำเหลือง
- ว่านพญาวานร(ฮว่าน ง็อก)ช่วยกระชับเนื้อเยื่อ กระชับอวัยวะภายนอก ภายใน และกระบวนการเผาผลาญ บำรุงประสาท
- หมากพลู ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง ทำให้อึดทนไม่เหนื่อยง่าย
- โป้ยกั๊กจีน ช่วยให้หายใจโล่ง แก้เจ็บคอ
- ขมิ้นชัน ช่วยบำรุงอวัยวะภายใน รักษาบาดแผลภายนอกภายใน
- งา ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและกระดูก
- กานพลู ช่วยบำรุงระบบเลือดและหัวใจ
- หญ้างวงช้าง ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ บำรุงประสาท
- ว่านหนุมานประสานกาย ช่วยบำรุงปอดและหลอดลม
- ว่านหางจระเข้ (ยาดำ) ช่วยขับถ่ายของเสีย รักษาอาการบอบช้ำ รักษาแผล
- บัวบก ช่วยบำรุงหัวใจ รักษาอาการบอบช้ำ
- หญ้าหนวดแมว ช่วยขับถ่ายของเสีย รักษาอาการปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ
- กระชาย ช่วยบำรุงหัวใจ ปรับสมดุล
- กระชายดำ ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์
- โหระพา ช่วยบำรุงเลือด
- ยาขม (ชนิดที่มีส่วนผสมของบอระเพ็ด) ช่วยลดอาการบวม บำรุงธาตุ ดับพิษร้อน
(สาร ที่ยกมาแสดงเป็นสารที่ใช้ง่าย กินง่าย แต่ ควรระมัดระวังในการใช้ ด้วยการใช้แต่น้อยและคอยสังเกตอาการ ซึ่งยังมีสารอื่นอีกมากแต่ส่วนใหญ่ใช้ยากกินยาก)
กายคตานุสสติ กับ พหุยุทธ์มวยไทย
กาย+จิต ก่อให้เกิด อัตตา อัตตา ที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มี ความกลัว ความโกรธ ความโลภ ความหลง ย่อมเป็นอันตราย ทั้งต่อตนและต่อโลก การพิจารณา กายคตานุสสติ อันเป็น สมถกรรมฐาน ทำให้เกิดสภาวะ แยก กาย กับ จิต ในส่วน กายรวม(สังขาร) กับ จิตรวม(วิญญาณ) แต่ในส่วนกายย่อย(รูป) ยังมีจิตย่อย ที่ทำให้เกิด การเผาผลาญและสร้างอนุพันธ์(เวทนา) และกลไกเชื่อมโยง(สัญญา)ระหว่าง กลุ่มกายย่อย ที่เรียกว่า อวัยวะ อยู่ ผู้ที่ฝึกกาย+จิต (วิปัสสนากรรมฐาน)จนถึงขั้นสูงสุด เท่านั้น จึงจะสามารถ สร้างสัมพันธ์ กับ ส่วนต่างๆเหล่านี้ได้และจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลตนและโลก
การ ฝึกอย่างเชื่องช้าโดย การกำหนดจิต จรดจ่อ(สติรู้) กับ การเคลื่อนไหว ส่วนต่างๆ ของร่างกายในแต่ละ ขั้นตอน(จังหวะ)พร้อมกับ การกำหนดลมหายใจ(จงกลม) ด้วยการ ก้าวย่าง เคลื่อนย้าย โยก หมุน แกว่ง เหยาะ กระโดด อย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆไป ซ้ำๆ ต่อเนื่องกันกับ การหยุดในท่า นั่งครก ท่าขึ้นพรหม ท่าคุม ท่าไหว้ ท่าต่อศอก ท่าย่างสามขุม ท่าเสือลากหางในช่วงเริ่มต้น เป็น วิธีการที่นับว่า น่าพิศวงมาก
การ ฝึกท่ามือเปล่า คนเดียว ด้วยการเคลื่อนไหวช้า สลับเร็ว เบา สลับ หนัก อ่อน สลับ แข็ง ในการรับ และ การรุก ตามแบบท่าแม่ไม้มวยไทยต่าง ๆ เช่น บาทาลูบพักตร์ มอญยันหลัก เถรกวาดลาน จระเข้ฟาดหาง จระเข้หวงไข่ พุ่งหอกโมกขศักดิ์ อิเหนาแทงกริช ทัดมาลา บั่นเศียรทศกรรฐ์ ฯลฯ พร้อมกับการควบคุมการหายใจอย่างรุนแรงลึกและตื้น ทำให้จิตย่อยจำประสบการณ์เพื่อเปิดประตูเข้าสู่..สภาวะอัตโนมัติ..ขณะฝึก จิตต้องแน่วแน่ เบิกบานและผ่อนคลาย จะทำให้ กาย จิต และพหุยุทธ์มวยไทย เกิดภาวะจำได้หมายรู้ มีสติ รู้กาย รู้จิต รู้กระบวนท่า ประกอบกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดพลังงานขับเคลื่อนจากจิตใหญ่ สู่กายใหญ่ สู่จิตย่อย สู่กายย่อย จากจิตหยาบ สู่จิตละเอียด จากกายหยาบสู่กายละเอียด มีสติรู้ สติปฏิบัติ เข้าใจกาย เข้าใจจิต เข้าใจ สภาวการณ์..และเข้าถึง จิตวิญญาณมวยไทย .......
หมายเหตุ การ บันทึกนี้ ผู้บันทึก รวบรวมจาก ประสบการณ์ในฐานะลูกศิษย์ที่ได้รับความเมตตาจากบรมครูมวย มีความประสงค์เป็นการบูชาพระคุณ บุรพาจารย์มวยไทยในอดีต ตลอดจนตอบแทนพระคุณบุรพกษัตริยราชเจ้าของไทยทุกพระองค์ เนื่องในโอกาส วันปิยมหาราช ทั้งมีเจตนา ให้เกิด การศึกษา ค้นคว้า เพื่อประโยชน์ของผู้สนใจ ประกอบการวิเคราะห์ สังเคราะห์ในการฝึกฝน ปฏิบัติ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบมวยไทย มิต้องการให้เกิดความลุ่มหลง งมงาย โดยไร้เหตุผล…

ความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง มวยไทย

มีข้อที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับ ความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง มวยไทย อยู่หลายประการ คือ
๑.การ ไหว้ครู ของมวยไทย..เป็นวิธีการอันแยบยล ที่ครูมวยแต่ละสาย กำหนดขึ้น เพื่อการประสมกาย+จิต+มวยไทย..ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน..ซึ่งดีกว่า(และไม่ใช่) การวอร์มอัพ..แต่หากจะนำมาใช้เป็น วิธีการสร้างสุขภาพด้วย..จำต้องให้ ผู้รู้ ช่วยกัน วิเคราะห์+สังเคราะห์ ให้สามารถก่อเกิดสมรรถนะเต็มศักยภาพ ของผู้ปฏิบัติ (โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย)..
๒.การเคลื่อนไหวกายด้วยท่าทางของมวยไทยแต่ละอย่าง มีกุญแจสู่สภาวะจิตไม่เหมือนกัน..
๓.ความ ศรัทธา คือหลักการสำคัญของการใช้ท่าทางและการเคลื่อนไหวเพื่อไขกุญแจสู่สภาวะจิตที่ ถูกต้อง..ซึ่งยังไม่อาจบัญญัติให้แน่นอน เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ทุกครั้ง..
๔.การ ฝึกทุกอย่าง มีช้า มีเร็ว ความช้าก็เกิดประสิทธิภาพ แบบหนึ่ง..ความเร็วก็เกิดประสิทธิภาพ อีกแบบหนึ่ง..การประสมประสาน กาย จิต ให้เข้ากับจังหวะช้า เร็ว ของท่าแม่ไม้มวยไทย เป็นเรื่องอัศจรรย์..ที่เคยลองดู จะเป็นเฉพาะบางท่า ที่เกิดความเข้ากันได้..ยิ่งการเปลี่ยนท่าแม่ไม้..ยิ่งจะต้องหาการต่อเชื่อม ระหว่างท่า กับ การเคลื่อนไหว (คล้ายๆกับ ลักษณะการเดินจงกลม)..หากเกิดการสะดุด..จะเกิดภาวะอึดอัด ติดขัด(เสียดลม เจ็บตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ)..ที่แปลกมาก คือ เมื่อฝึกแบบนี้..แล้วกลับไป ฝึกนั่งสมาธิอย่างที่เคยนั่ง (สมถกรรมฐาน)..ทำไมรู้สึกว่า ยากที่จะสงบนิ่งเหมือนเดิม..
๕. ท่าต่างๆของมวยไทย มันมีมากมายเพราะ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบมวยไทย มันยังมีชีวิตอยู่..ยังไม่ตาย..จึงย่อมมีการเกิดของท่าต่างๆอยู่เสมอ..บาง ท่า ก็มีผู้คิดค้นขึ้นใหม่..บางท่าก็เป็นการประยุกต์จากท่าแม่ไม้,ลูก ไม้ของเก่า..การจะรวบรวมนำเข้ามาสู่การฝึกเพื่อบริหารกายจิต จึงจำต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถรวบรวมภูมิปัญญาของมวยไทยให้ต่อเนื่อง
legendmuaythai02.jpg

มีคำถามว่า พหุยุทธ์มวยไทย แตกต่างจาก มวยไทยไชยา อย่างไร?
..พหุ ยุทธ์มวยไทย ต้องการให้เป็น ศิลปศาสตร์แห่งการเอาชนะตนเอง ในการสร้างสุขภาวะสำหรับคนไทย (การบริหารกายและจิต) ซึ่งใช้การเคลื่อนไหวเพื่อการประสมประสาน ร่างกาย+จิตใจ+ท่าไหว้ครูและท่ารำมวยไทย..ทำให้เกิด ความเข้มแข็งและปลูกฝังจิตสำนึกไทย ให้คนไทยสามารถรักษาตนเองและรักษาชาติไทย..ส่วน มวยไทยไชยา เป็นศิลปะศาสตร์การต่อสู้ป้องกันตัว ที่พัฒนารูปแบบขึ้นโดยพ่อท่านมา แห่งเมืองไชยา ซึ่งว่ากันว่าท่านเคยเป็นถึง ขุนศึกจากพระนคร ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยอาจเป็นต้นทาง ของ มวยไทยสายใต้ เมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว.. (หรืออาจแตกแขนงจากมวยไทยสายใต้ เนื่องจาก เมืองสงขลา เมืองพัทลุง และเมืองนครศรีธรรมราช มีการตั้งถิ่นฐานของคนไทย มานานและมีท่าต่อสู้ที่ใช้การ ฉัด ปล้ำ ฟัด ทุ่ม ทับ จับ หัก เช่นเดียวกับ มวยไชยา )


มีความเข้าใจผิดเรื่อง มวยไทย ว่า เป็นกีฬาที่ส่งเสริมความรุนแรงและมีอันตรายมาก ?
...ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจ คำ สองคำ คือ กีฬา และ มวย.." กีฬา(sports)" เป็นส่วนย่อยของ เกมส์(games)..เป็น การละเล่น ออกกำลังกาย ที่มุ่งส่งเสริม สุขภาพทางกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม โดยมีกฏ กติกา ข้อกำหนดชัดเจน ..มี ๒ ลักษณะ คือ การเล่นกีฬา และการแข่งขันกีฬา ในเมืองไทย เราแยกเป็น กีฬาพื้นบ้าน กีฬาไทย กีฬาสากล..และแบ่งเป็น กีฬาในร่ม กับ กีฬากลางแจ้ง หรือ กีฬาที่มีการปะทะตัวกัน กับ กีฬาที่ไม่ปะทะตัวกัน ..ส่วน" มวย "..เป็น กีฬาชนิดหนึ่งที่มีการปะทะตัวกัน ..อันนี้ มีหลายมวย เช่น มวยสากล(Inter boxing) มวยไทย(Muaythai) มวยปล้ำ(Wrestling)..ซึ่ง แต่ละอย่างก็มี กฏ กติกา ไม่เหมือนกัน..การเล่นกีฬา มีจุดประสงค์ให้เกิดสุขภาพ กาย ใจ อารมณ์ สังคมที่ดี..และในการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น ก็มีจุดประสงค์ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดโทษร้ายแรง..แต่ ด้วยกิเลศของมนุษย์..ก็อาจทำให้เกิดความไม่ดีไม่งามขึ้นในลักษณะต่างๆ..เค้า เรียกว่า ยังไม่พัฒนาครับ..ซึ่งปัจจุบันนี้ คนไทย และชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่ ยังมีมุมมองเฉพาะความน่ากลัว ของ มวยไทย จึงทำให้ มวยไทยแพร่หลายในวงแคบๆ..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีคิด วิธีจัดการแข่งขันที่ลอกเลียนแบบจาก ชาวตะวันตก ที่มุ่งหวังกำไรจากการทำธุรกิจการต่อสู้ด้วยการแอบอิงการขาย และการตลาด จากลักษณะการต่อสู้ของแต่ละชนชาติ ที่มีความแปลกแตกต่างกัน..จึงยิ่งทำให้สร้างภาพความรุนแรงของกีฬามวยยิ่ง ขึ้น..อันนี้เป็นการทำลายคุณค่าของ ความเป็นมนุษย์ ที่ร้ายแรง อย่างที่สุด..
มีผู้หญิงไทย บางคน ถามว่า มวยไทย เหมาะกับ ผู้หญิง มั้ย?
..ผมเลยช่วยตอบกลับไปว่า.. “ อีหนูเอ๋ย..ลุงว่า มวยไทย เป็นวิชาความรู้ภูมิปัญญาของคนไทยนะ..หนูเป็นคนไทย ต้องเรียนของไทยก่อนเหอะ..เหมือนที่หนูพูด อ่าน เขียนไทย ก่อนที่จะเรียนพูดอ่านเขียนอังกฤษ..และถ้าหนูเข้าใจ เข้าถึง มวยไทย หละก็..ไอ้วิชาต่อสู้ป้องกันตัวอื่นนะแค่ จิ๊บ จิ๊บ จร้า..และฟามจิง การฝึกมวยไทยไม่ได้หนักหนาสาหัส รึ เจ็บปวดอันใด ดอกนะ..ฝึกไหว้ครู ฝึกรำมวย ฝึกชกลม เล่นเชิง เนี่ย มันง่ายฝ่าฝึกแดนซ์เป็นไหนๆ..ถ้านู๋อยากฝึกละก็เด๋ว ลุง จัดให้..”
...เมื่อก่อนผมไม่ค่อยเข้าใจ มวยไทย มากนัก แม้ว่า จะเคยฝึก มวยไทย และ กระบี่ กระบอง มาจากหลายครู ทั้งแบบโดยตรง และโดยอ้อม (อาทิ คุณพ่อเขียน ชัยกูล, คุณครูครื้น อรัญดร, คุณครูขุนเหี้ยม ลูกเพชรเกษม, คุณครูแสวง ศิริไปล์, คุณครูวิชิต ชี้เชิญ, คุณครูพินิจ ประหยัดทรัพย์, คุณครูสงวน มีระหงษ์,คุณครูจรวย แก่นวงษ์คำ ฯลฯ ) ตลอดจนจาก ประสบการณ์การชกบนเวที (เวทีมวยสมัครเล่นและ เวทีภูธร ไม่กี่ครั้ง..)
....จนเมื่อได้ ศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติม จาก การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว อื่นๆ อีกหลายแขนง อาทิ มวยสากล จาก ครูนอง เสียงหล่อ , ครูสืบ จุณฑะเกาศลย์, ครูลือชา สุบรรณพงศ์, ยูโด และ ไอกิโด จาก ครูปรีชา ตันจริยานนท์ และการได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่รักและสนใจมวยไทย และศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวหลายท่าน ตลอดจนจากการติดตามศึกษาจาก การชกมวยไทยเวที ในช่วง สามสิบกว่าปี มานี้..และเมื่อได้ลองรวบรวม ท่าการฝึก แม่ไม้มวยไทย ต่างๆ เพื่อจัดทำเป็น แบบฝึกพหุยุทธ์มวยไทย สำหรับการสร้างสุขภาพ โดยมีความคาดหวังว่า เราคนไทย ควรจะมีท่ารำมวยไทย ไว้สร้างเสริมสุขภาพ มากกว่า มวยไท้เก๊ก หรือ มวยหย่งชุน/หวิงชุน กังฟู หรือ โยคะ ก็รู้สึกเกิดความประหลาดใจ ในการเปลี่ยนแปลงในตนเอง หลายอย่าง....ซึ่งเมื่อนำไปเทียบเคียงกับ หลายท่าน แล้วเกิดความอัศจรรย์ใจ ใน ฤทธิ์เดชของ มวยไทย..เพราะ เมื่อเราฝึกมวยไทยแล้ว..กลับกลายเป็นว่า เราเองกลับถูก มวยไทย ควบคุมไว้...
....อันนี้ นับว่า เป็นมหัศจรรย์ของมวยไทย..ได้หรือไม่?
พหุยุทธ์มวยไทย
จิตวิญญาณ มวยไทย (Soul of Muay Thai Martial Arts)
จิตวิญญาณมวยไทย ที่ผมได้ศึกษาเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์มา คือ ความสง่างาม Smartness , ความแข็งแกร่ง Strength , ความเรียบง่ายSimplicity และ ความมีไมตรีจิต Smiling ครับ..
แต่ สิ่งที่เป็น จิตวิญญาณมวยไทย ที่สามารถรับรู้ได้ชัดเจนที่สุดว่า นักมวยไทย คนนั้นเข้าถึงมวยไทยได้จริงหรือไม่? คือ ความสง่างาม ความร่าเริง และ ความเป็นมิตรซึ่งจะเห็นได้จาก บัวขาว ป.ประมุข นั่นเอง
ขั้นตอนและการฝึกศิลปะพหุยุทธ์มวยไทย
1.การฝึกซ้อมที่เน้นการเสริมสร้างพื้นฐานของร่างกาย,การเคลื่อนที่ เคลื่อนไหว,การหายใจ
2.การฝึกซ้อมที่เน้นการเสริมสร้างพื้นฐานของจิตใจ,ความเข้าใจตน,ความเบิกบาน,ความมีไมตรีจิต
3.การฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้มวยไทย ได้แก่
- ท่าไหว้ครู
- ท่ารำมวย
- ชกลม เล่นเชิง
- แม่ไม้-ลูกไม้
- ลูกรับ-ลูกโต้
- ลูกกัน-ลูกแก้
- ไม้เด็ด-ไม้ตาย
4.รูปแบบการฝึก ได้แก่
การฝึกคนเดียว,ฝึกกับอุปกรณ์,ฝึกกับคู่ซ้อม,การประลอง,การแข่งขัน,การต่อสู้กับตนเอง
5.กายคตานุสติมวยไทย คือ
การประสมประสาน ร่างกาย จิตวิญญาณ และพหุยุทธ์มวยไทย ให้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การฝึกกระบวนท่า พหุยุทธ์มวยไทย
๑.ขั้น เตรียมตัวเตรียมใจ ประกอบด้วย ชุดแต่งกาย,สถานที่-อุปกรณ์,เวลา,อารมณ์ และควรมีการนวดถูตัว แบบ๘๔,๐๐๐ขันธ์ด้วยน้ำมันว่านก่อน ฯลฯ
๒.ขั้นประกอบอิริยาบถ ประกอบด้วย มนตร์บริกรรม,ท่าอัญเชิญเทวดา,ท่าสะกดทัพ,ท่าเทพพนม,ท่าปฐม ท่าเปิด-ปิด
บัวบาน ,ท่าคชกราน ,ท่าเสือลากหาง,ท่าลดล่อ ฯลฯ
๓.ขั้นฐาน ธาตุ ๔ ประกอบด้วย ท่านั่งสำรวม,กอบพสุธา,นาคาพ่นน้ำ,เบิกประตูลมซ้าย-ขวา,
ท่าคันฉ่องส่องทางฯลฯ
๔.ขั้นสักการะ ประกอบด้วย ท่าอัญเชิญ ท่ากราบเบญจางคประดิษฐ์ ท่าถวายบังคม ท่าขึ้นพรหมฯลฯ
๕.ขั้น ประชุมพล ประกอบด้วย ท่ากากบาท ท่ายักษ์ ท่าลิง ท่าเสือลากหาง ท่าหงส์เหิร ท่ายูงรำแพน ท่าพยัคฆ์ด้อมกวาง ท่าฤาษีส่องกล้อง ท่าย่างสามขุม ท่าตั้งศอก ต่อศอก ท่าพันหมัดพันมือ ท่าสอดสร้อย ท่าสาวไหม ท่าปั้นลม ท่าลับหอกโมกขศักดิ์ ท่ากวางเหลียวหลัง ท่าน้าวศร ท่าแผลงศร ท่าจักรนารายณ์ ท่าบังสูรย์ ท่าปักลูกทอย ท่ากรายทวน ๘ ทิศ ท่าอาชาสุขเกษม ท่าสอดสร้อย ท่าเมฆขลาล่อแก้ว ท่าหนุมานแหวกเมฆ ท่าแม่ธรณีบีบมวยผม ฯลฯ
๖.ขั้นมหิทธานุภาพ ประกอบด้วย ท่าเหวี่ยงควาย ท่าหนุมานถวายแหวน ท่าตาเถรค้ำฟัก ท่าทะแยค้ำเสา
ท่าบาทาลูบพักตร์ ท่ามอญยันหลัก ท่าเถรกวาดลาน ท่าทัดมาลา ท่าพุ่งหอก ท่าเหน็บกริช ท่าญวนทอดแห ท่าไกรสรข้ามห้วย ฯลฯ
๗.ขั้นสัมฤทธิ ประกอบด้วย ท่าบั่นเศียรทศกรรฐ์ ท่าจระเข้ฟาดหาง ท่ากงล้อนารายณ์ ท่าม้าดีดกระโหลก
ท่าหนุมานทะยานชล ท่าฤาษีบดยา ท่าช้างประสานงา....
หมายเหตุ
1. การฝึกนี้บ้างก็เป็นลำดับตามขั้น บ้างก็ประสมประสานไปตามจังหวะกาย+จิต
2. ควรใช้กำลังที่กลมกลืนพอเหมาะที่มีทั้งช้า เร็ว เบา หนัก
3. สิ่งที่สำคัญ คือ การกำหนดเป้าหมาย ที่ผนวกการจัดท่าป้องกันพร้อมไปกับการโจมตีให้ชัดเจน
4. เมื่อเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว ควรค่อยๆเพิ่มอุปกรณ์น้ำหนักที่พอเหมาะเพื่อให้ร่างกายพัฒนาไปสู่
ภาวะกลมกลืนแต่แข็งแกร่ง
5. การ กำหนดขั้นตอน และการตั้งชื่อเหล่านี้ ผมกำหนดขึ้นเอง เพื่อการแยกหมวดหมู่ ตามคุณลักษณะของระดับประสิทธิภาพของท่าต่างๆ และ ชื่อท่า บางท่าอาจไม่ต้องตรงกันกับที่แต่ละปรมาจารย์ได้กำหนดไว้เดิมเนื่องจากแต่ละ ท่าน มีเคล็ดวิชาสำคัญประกอบอยู่ในชื่อท่า ไม่เหมือนกัน แต่หากเป็นท่าแม่ไม้ ลูกไม้หลักซึ่งได้กำหนดไว้มาแต่ครั้ง รัชกาลที่ ๓ จะยังคงใช้ชื่อท่าเหล่านั้นไว้ซึ่งบางชื่ออาจตัดทอนให้สั้นลง
6.ขั้นของการฝึกอาจมีได้ถึง ขั้น ๘.สยบมาร และ ขั้น ๙ สราญรมย์ แต่เนื่องจากยังมีข้อจำกัดจึงมิได้ให้รายละเอียดไว้