Tuesday, November 6, 2012

ประวัติมวยไทย ๔ ภาค

ประวัติมวยไทย ๔ ภาค

....รัชสมัยกรุงธนบุรี ต่อเนื่องถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ชนชาวสยาม เป็นปึกแผ่น รวมเขตแดน รวมแผ่นดินได้มากแล้ว แต่ยังไม่ว่างเว้น จากศึกสงครามใหญ่น้อย ภัยรอบบ้าน เรื่องการฝึกปรือ กลมวย เพลงดาบ จึงนับได้ว่าเป็นศิลปะประจำชาติที่สำคัญ ซึ่งคนไทยโดยทั่วไป ใส่ใจ และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว จึงได้เกิด สำนักมวย สำนักดาบ ขึ้น แม้แต่ในพระมหาราชวัง ก็ยังมีการเรียนการสอน กระบี่กระบอง วิชามวย และพิชัยสงคราม อันเป็นหลักสูตรสำคัญ โดยเฉพาะมวยไทย ที่มีรูปแบบการใช้อวัยวะเป็นอาวุธ ทั้ง หมัด เท้า เข่า ศอก คล้ายคลึงกันทั่วประเทศ แต่ถึงกระนั้น ด้วยความเป็นชนชาติอิสระ และมีภูมิปัญญา วิชามวย ก็ได้แตกแขนง แบ่งกลุ่ม แบ่งภาค กันออกไปอย่างเด่นชัด ทั้งท่ารำร่ายไหว้ครู รูปแบบลีลาท่าย่าง ท่าครู แม่ไม้ ลูกไม้ อีกทั้งความชำนาญเรื่อง การจัก สาน ร้อย ทำให้การคาดเชือก ถักหมัด มีรูปแบบเฉพาะตัวอีกมากมาย โดยหลักใหญ่แบ่งได้ตามภูมิภาค คือ





ภาคเหนือ 

มวยท่าเสา มวยเม็งราย มวยเจิง ฯลฯ มวยท่าเสา เป็นมวยเชิงเตะ คล่องแคล่ว ว่องไว ทั้งซ้ายขวา จนได้ฉายา มวยตีนลิง คาดเชือกประมาณครึ่งแขน

มวยเจิง
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop

ภาคอีสาน
 มวยโคราช มวยหลุม ฯลฯ มวยโคราช ลักษณะการ เตะ ต่อย เป็นวงกว้าง นิยม คาดเชือก ขมวดรอบแขนจนจรดข้อศอก เพื่อใช้รับการเตะ ที่หนักหน่วงรุนแรง
มวยโคราช
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop
ภาคกลาง 
มวยลพบุรี มวยพระนคร ฯลฯ มวยลพบุรี ลักษณะการชก ต่อย วงใน เข้าออกรวดเร็ว เน้นหมัดตรง การคาดเชือก จึงคาดเพียงประมาณครึ่งแขน

มวยพระนคร
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop

ภาคใต้ 
มวยไชยา ฯลฯ มวยไชยา ลักษณะการรุก-รับ รัดกุม ถนัดการใช้ศอกในระยะประชิดตัว การคาดเชือกจึงนิยมคาดเพียง คลุมรอบข้อมือ เพื่อกันการซ้น หรือเคล็ด เท่านั้น
มวยไชยา
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop

เคล็ดวิชา มวยไทย ขั้นสูง

ประตูสู่ ปิติ และ ศรัทธา ของมวยไทย
มีสำนักมวยไทยหลายสำนัก กล่าวถึง ปิด เปิด ทำให้เข้าใจว่า ปิด เปิด เป็นการปิด(บัง)อาวุธที่คู่ต่อสู้กระทำ หรือปิดจังหวะกระทำ แล้ว เปิด โอกาส(จังหวะ)ให้เราตอบโต้ แต่ จะมีใครรู้ถึงความหมายลึกซึ้งของ การปิดเปิด ซึ่งครูใช้พร่ำสอนเรามาแต่โบราณ..ยิ่งเมื่อสืบค้นไปถึงศิลปะการต่อสู้ของชนเผ่าไท ทุกเผ่า รวมถึงชื่อท่า ของ การร่ายรำ การแสดง การรำดาบ หรืออาวุธ มีการใช้คำ ปิด เปิด ไว้สำหรับการแสดงความเคารพ หรือลำดับแรกของกิจกรรม..ยิ่งน่าฉงนนักเมื่อพบว่า มีการกล่าวถึง ท่า ปิด เปิด บัวบาน ในการแสดง โมงครุ่ม การรำฟ้อนเล็บ ฟ้อนดาบ รำมโนราห์..ว่า การ ปิด เปิด นี้ สำคัญยิ่งนัก เพราะใช้เป็นท่าครูหรือท่าเคารพ แสดงให้เห็นถึง ปิด เปิด ที่กระจายอยู่ทุกภาคและมีที่มาที่น่าสืบค้นต้นทางยิ่ง..และคงมิใช่แค่การปิด เปิด ที่เราเข้าใจกัน..และถ้าผมจะบอกว่า ปิด เปิด นี้ คือ ประตูสู่การฝึกจิตที่จะสร้าง ปิติ หรือ ต้นทางของศรัทธา หรือ จิตวิญญานมวยไทย..ท่านจะเชื่อ หรือมั้ย..
การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่
..การต่อสู้กับผู้อื่น..มิยิ่งใหญ่ เท่า การต่อสู้ กับ ตนเอง..ผู้ใด รู้จักใช้ หมัด เท้า เข่า ศอก บวกเข้ากับ ศิลปะแม่ไม้มวยไทย ขับเคลื่อน กายคตานุสติ ได้เหมาะสม ย่อมเกิดพลวัตรอันยิ่งใหญ่ ประกอบเข้าเป็น จิตวิญญานมวยไทย ที่บุรพาจารย์คิดค้นไว้เพื่อเป็น มรดกสำหรับลูกหลานไทย..การต่อสู้ คือ จุดทดสอบ ของกาลเวลา..ประสบการณ์จาก ความพ่ายแพ้ มีคุณค่า มากกว่า ชัยชนะ ยิ่งนัก..มีชีวิต..จึงมี การต่อสู้.
.เทคนิคการถ่ายทอดวิชามวยไทยของบุรพาจารย์
original_anigif.gif
...ครู มวยไทยสมัยโบราณ(ร.๓) ได้ใช้เทคนิคการถ่ายทอดวิชาที่ทันสมัยมากโดยได้วาดรูปที่สามารถแสดงการ เคลื่อนไหวคล้าย การทำไพ่ แล้วนำมาซ้อนกันเพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวเสมือนดูภาพยนต์ ตั้งแต่สมัยเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน เทคนิคนี้น่าจะเลียนแบบมาจาก ชาวจีน ในรูป เป็นการนำภาพมาประกอบในลักษณะแอนิเมชั่นกิฟ แสดงการต่อสู้ด้วย ลูกไม้แก้ ด้วย ท่ามอญยันหลัก


จิตวิญญาณมวยไทย คืออะไร?
. .....คนไทย มี จิตวิญญาณของความเป็นมิตร ความโอบอ้อมอารี ความกล้าหาญ ความเสียสละ ความเรียบง่าย ความอ่อนน้อม และ ความอดทน อดกลั้น เป็นพื้นฐาน และนี่ คือ
..จิตวิญญาณของมวยไทย ที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้ เช่นกัน
ผม เคยพูดซ้ำๆ หลายครั้ง เรื่อง จิตวิญญาณมวยไทย หลายท่านที่ไม่เคยชกมวยไทย หรือ ฝึกมวยไทย (นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายของ คนไทย)อาจจะไม่เข้าใจ หรือสงสัยว่า มันสำคัญอย่างไร?..ฝรั่งว่า คนเรามี จิตใจ(Ego) เป็นตัวควบคุมพฤติกรรม ซึ่งทำให้รู้ผิดชอบชั่วดี..และจำต้องหมั่นฝึกฝนให้มีตัวควบคุมที่เข้มแข็งกำกับอีกชั้นหนึ่ง(Super Ego)เพราะมิเช่นนั้น สัญชาตญาน(Id)จะ ชักพาให้ไปทางเสื่อม ทางพุทธะ เรียกว่า กิเลศตัณหา ..การได้ฝึกฝน มวยไทย ซึ่งช่วยบ่มเพาะ ความอดทน อดกลั้น ความกล้าหาญ ความกตัญญู และความมีไมตรี ผนวกเข้ากับ ศาสตร์การเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ อันสร้างเสริมสุขภาพกาย ใจ..(แต่มีนักมวยไทยอาชีพ หลายคน ประพฤติตนไม่เหมาะสม เพราะ ต้นทุนของตนต่ำ บวกกับ การบ่มเพาะที่ผิดๆ จากค่ายมวยที่ขาดความรับผิดชอบ)..ดังนั้น เมื่อเราฝึกฝน มวยไทย และอยากให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เราต้องไม่ละเลยเรื่อง การพัฒนาจิตวิญญานมวยไทย เพราะ จิตวิญญาณ นี้จะเป็นตัวควบคุมกำกับเรา (สติ)ในทุกสภาวการณ์
..เคล็ดวิชา มวยไทย ขั้นสูง
....เพื่อเป็นมรดกแก่ลูกหลานไทยและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้สนใจใฝ่ศึกษา ศิลปะการต่อสู้ ….
ความเป็นหนึ่งเดียว คือ ความแข็งแกร่งที่สมบูรณ์แบบของ ตัวตน (อัตตา) ก่อนจะพัฒนาไปสู่ ความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ความเป็นหนึ่งเดียว ของ กาย + จิต + พหุยุทธ์มวยไทย
คือ สุดยอดพหุยุทธ์ หมาย ถึง ความสามารถที่จะรับมือกับสภาวะการณ์ของการจู่โจมตีทุกรูปแบบ ด้วยความมั่นคง แข็งแกร่ง แปรเปลี่ยนได้ เต็มประสิทธิภาพของ สังขาร ความเป็นหนึ่งเดียว คือ องค์รวมของ กาย+จิต+พหุยุทธ์มวยไทย ซึ่งจะทำหน้าที่หมุนเวียนเกื้อกูลต่อกัน การก่อตัวของความเป็นหนึ่งเดียว จะค่อยๆ สร้าง ความแน่นหนา แข็งแกร่ง อันเป็นสมรรถนะสูงสุดของกาย+จิต+พหุยุทธ์มวยไทย จากความเทอะทะ อ่อนยุ่ย หลวม หวาดหวั่นจนถึงจุดสูงสุดของ สมบูรณสภาวะ คือ ความคล่องแคล่ว รัดกุม สมดุล มั่นคง ความเป็นหนึ่งเดียว จะถูกขับเคลื่อนไปจนกว่า กายสังขาร จะถูกเผาผลาญด้วย พลังอันบริสุทธิ์ของ จิต ทั้งในระดับภายในกายย่อยของมันเองและ จิตที่เป็นองค์รวม(วิญญาณ) การเผาผลาญนี้ ในช่วงต้น มีศักยภาพในการสร้างอนุพันธ์ของ กายย่อยละเอียด ขึ้น มาทดแทน กายย่อยที่ยังไม่สมบูรณ์ จนเมื่อถึงที่สุดของสภาวะ กายย่อยละเอียดที่คงที่ จะถูกเผาผลาญไปโดยไม่มีการทดแทน ทำให้เข้าสู่สภาวะเป็น ศูนย์ กลุ่มกายย่อยละเอียดจะมีสมรรถภาพสูงสุดและสร้างสมดุลสภาวะของการปรับตัวให้ สอดคล้องกันกับ กายสังขารและ จิต
องค์ประกอบที่สำคัญของ ความเป็นหนึ่งเดียว
๑.ฐาน รูปกาย
๒.ฐานจิต
๓.ฐาน มวยไทย
๔.ฐาน ปัจจัย ๔
องค์ประกอบทั้ง ๔ ฐาน ต้องผสมผสานให้สมดุล
ฐานรูปกาย ฐานจิต และ ฐานปัจจัย ๔ มีความสัมพันธ์กันกับ หลักความสมถะ คือ มีความพอเพียง พอประมาณ และมีความเกี่ยวโยงกับ สติ ดังนี้
สติ เกิดจาก จุดสัมพันธ์ เกิดจาก วงจรระบบประสาท เกิดจาก เคมีภายในร่างกาย เกิดจาก การปรับสมดุล เกิดจาก เคมีภายนอก
.....ต่อ ไปนี้เป็นการรวบรวมรายชื่อสารอาหาร ที่ผมได้พยายามศึกษารวบรวมจากประสบการณ์ตรง ขอเรียนว่า ที่กล่าวไปเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างการศึกษา และขึ้นอยู่กับ กฎของการใช้ยา ที่สำคัญ คือ ลางเนื้อ ชอบ ลางยา....
สารอาหารจากสัตว์และพืช(เคมีภายนอก) ที่อาจมีส่วนเสริมช่วย ในการฝึก พหุยุทธ์มวยไทย ได้แก่
- เนื้อโค ช่วยการซ่อมแซมเนื้อเยื่อทำให้เกิดความสงบไม่ฟุ้งซ่าน
- ปลาไหล ปลาดุก ไข่สด ช่วยการซ่อมแซมและบำรุงเนื้อเยื่อ เอ็น ข้อต่อ น้ำเมือก น้ำเหลือง
- ว่านพญาวานร(ฮว่าน ง็อก)ช่วยกระชับเนื้อเยื่อ กระชับอวัยวะภายนอก ภายใน และกระบวนการเผาผลาญ บำรุงประสาท
- หมากพลู ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง ทำให้อึดทนไม่เหนื่อยง่าย
- โป้ยกั๊กจีน ช่วยให้หายใจโล่ง แก้เจ็บคอ
- ขมิ้นชัน ช่วยบำรุงอวัยวะภายใน รักษาบาดแผลภายนอกภายใน
- งา ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและกระดูก
- กานพลู ช่วยบำรุงระบบเลือดและหัวใจ
- หญ้างวงช้าง ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ บำรุงประสาท
- ว่านหนุมานประสานกาย ช่วยบำรุงปอดและหลอดลม
- ว่านหางจระเข้ (ยาดำ) ช่วยขับถ่ายของเสีย รักษาอาการบอบช้ำ รักษาแผล
- บัวบก ช่วยบำรุงหัวใจ รักษาอาการบอบช้ำ
- หญ้าหนวดแมว ช่วยขับถ่ายของเสีย รักษาอาการปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ
- กระชาย ช่วยบำรุงหัวใจ ปรับสมดุล
- กระชายดำ ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์
- โหระพา ช่วยบำรุงเลือด
- ยาขม (ชนิดที่มีส่วนผสมของบอระเพ็ด) ช่วยลดอาการบวม บำรุงธาตุ ดับพิษร้อน
(สาร ที่ยกมาแสดงเป็นสารที่ใช้ง่าย กินง่าย แต่ ควรระมัดระวังในการใช้ ด้วยการใช้แต่น้อยและคอยสังเกตอาการ ซึ่งยังมีสารอื่นอีกมากแต่ส่วนใหญ่ใช้ยากกินยาก)
กายคตานุสสติ กับ พหุยุทธ์มวยไทย
กาย+จิต ก่อให้เกิด อัตตา อัตตา ที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มี ความกลัว ความโกรธ ความโลภ ความหลง ย่อมเป็นอันตราย ทั้งต่อตนและต่อโลก การพิจารณา กายคตานุสสติ อันเป็น สมถกรรมฐาน ทำให้เกิดสภาวะ แยก กาย กับ จิต ในส่วน กายรวม(สังขาร) กับ จิตรวม(วิญญาณ) แต่ในส่วนกายย่อย(รูป) ยังมีจิตย่อย ที่ทำให้เกิด การเผาผลาญและสร้างอนุพันธ์(เวทนา) และกลไกเชื่อมโยง(สัญญา)ระหว่าง กลุ่มกายย่อย ที่เรียกว่า อวัยวะ อยู่ ผู้ที่ฝึกกาย+จิต (วิปัสสนากรรมฐาน)จนถึงขั้นสูงสุด เท่านั้น จึงจะสามารถ สร้างสัมพันธ์ กับ ส่วนต่างๆเหล่านี้ได้และจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลตนและโลก
การ ฝึกอย่างเชื่องช้าโดย การกำหนดจิต จรดจ่อ(สติรู้) กับ การเคลื่อนไหว ส่วนต่างๆ ของร่างกายในแต่ละ ขั้นตอน(จังหวะ)พร้อมกับ การกำหนดลมหายใจ(จงกลม) ด้วยการ ก้าวย่าง เคลื่อนย้าย โยก หมุน แกว่ง เหยาะ กระโดด อย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆไป ซ้ำๆ ต่อเนื่องกันกับ การหยุดในท่า นั่งครก ท่าขึ้นพรหม ท่าคุม ท่าไหว้ ท่าต่อศอก ท่าย่างสามขุม ท่าเสือลากหางในช่วงเริ่มต้น เป็น วิธีการที่นับว่า น่าพิศวงมาก
การ ฝึกท่ามือเปล่า คนเดียว ด้วยการเคลื่อนไหวช้า สลับเร็ว เบา สลับ หนัก อ่อน สลับ แข็ง ในการรับ และ การรุก ตามแบบท่าแม่ไม้มวยไทยต่าง ๆ เช่น บาทาลูบพักตร์ มอญยันหลัก เถรกวาดลาน จระเข้ฟาดหาง จระเข้หวงไข่ พุ่งหอกโมกขศักดิ์ อิเหนาแทงกริช ทัดมาลา บั่นเศียรทศกรรฐ์ ฯลฯ พร้อมกับการควบคุมการหายใจอย่างรุนแรงลึกและตื้น ทำให้จิตย่อยจำประสบการณ์เพื่อเปิดประตูเข้าสู่..สภาวะอัตโนมัติ..ขณะฝึก จิตต้องแน่วแน่ เบิกบานและผ่อนคลาย จะทำให้ กาย จิต และพหุยุทธ์มวยไทย เกิดภาวะจำได้หมายรู้ มีสติ รู้กาย รู้จิต รู้กระบวนท่า ประกอบกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดพลังงานขับเคลื่อนจากจิตใหญ่ สู่กายใหญ่ สู่จิตย่อย สู่กายย่อย จากจิตหยาบ สู่จิตละเอียด จากกายหยาบสู่กายละเอียด มีสติรู้ สติปฏิบัติ เข้าใจกาย เข้าใจจิต เข้าใจ สภาวการณ์..และเข้าถึง จิตวิญญาณมวยไทย .......
หมายเหตุ การ บันทึกนี้ ผู้บันทึก รวบรวมจาก ประสบการณ์ในฐานะลูกศิษย์ที่ได้รับความเมตตาจากบรมครูมวย มีความประสงค์เป็นการบูชาพระคุณ บุรพาจารย์มวยไทยในอดีต ตลอดจนตอบแทนพระคุณบุรพกษัตริยราชเจ้าของไทยทุกพระองค์ เนื่องในโอกาส วันปิยมหาราช ทั้งมีเจตนา ให้เกิด การศึกษา ค้นคว้า เพื่อประโยชน์ของผู้สนใจ ประกอบการวิเคราะห์ สังเคราะห์ในการฝึกฝน ปฏิบัติ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบมวยไทย มิต้องการให้เกิดความลุ่มหลง งมงาย โดยไร้เหตุผล…

ความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง มวยไทย

มีข้อที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับ ความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง มวยไทย อยู่หลายประการ คือ
๑.การ ไหว้ครู ของมวยไทย..เป็นวิธีการอันแยบยล ที่ครูมวยแต่ละสาย กำหนดขึ้น เพื่อการประสมกาย+จิต+มวยไทย..ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน..ซึ่งดีกว่า(และไม่ใช่) การวอร์มอัพ..แต่หากจะนำมาใช้เป็น วิธีการสร้างสุขภาพด้วย..จำต้องให้ ผู้รู้ ช่วยกัน วิเคราะห์+สังเคราะห์ ให้สามารถก่อเกิดสมรรถนะเต็มศักยภาพ ของผู้ปฏิบัติ (โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย)..
๒.การเคลื่อนไหวกายด้วยท่าทางของมวยไทยแต่ละอย่าง มีกุญแจสู่สภาวะจิตไม่เหมือนกัน..
๓.ความ ศรัทธา คือหลักการสำคัญของการใช้ท่าทางและการเคลื่อนไหวเพื่อไขกุญแจสู่สภาวะจิตที่ ถูกต้อง..ซึ่งยังไม่อาจบัญญัติให้แน่นอน เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ทุกครั้ง..
๔.การ ฝึกทุกอย่าง มีช้า มีเร็ว ความช้าก็เกิดประสิทธิภาพ แบบหนึ่ง..ความเร็วก็เกิดประสิทธิภาพ อีกแบบหนึ่ง..การประสมประสาน กาย จิต ให้เข้ากับจังหวะช้า เร็ว ของท่าแม่ไม้มวยไทย เป็นเรื่องอัศจรรย์..ที่เคยลองดู จะเป็นเฉพาะบางท่า ที่เกิดความเข้ากันได้..ยิ่งการเปลี่ยนท่าแม่ไม้..ยิ่งจะต้องหาการต่อเชื่อม ระหว่างท่า กับ การเคลื่อนไหว (คล้ายๆกับ ลักษณะการเดินจงกลม)..หากเกิดการสะดุด..จะเกิดภาวะอึดอัด ติดขัด(เสียดลม เจ็บตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ)..ที่แปลกมาก คือ เมื่อฝึกแบบนี้..แล้วกลับไป ฝึกนั่งสมาธิอย่างที่เคยนั่ง (สมถกรรมฐาน)..ทำไมรู้สึกว่า ยากที่จะสงบนิ่งเหมือนเดิม..
๕. ท่าต่างๆของมวยไทย มันมีมากมายเพราะ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบมวยไทย มันยังมีชีวิตอยู่..ยังไม่ตาย..จึงย่อมมีการเกิดของท่าต่างๆอยู่เสมอ..บาง ท่า ก็มีผู้คิดค้นขึ้นใหม่..บางท่าก็เป็นการประยุกต์จากท่าแม่ไม้,ลูก ไม้ของเก่า..การจะรวบรวมนำเข้ามาสู่การฝึกเพื่อบริหารกายจิต จึงจำต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถรวบรวมภูมิปัญญาของมวยไทยให้ต่อเนื่อง
legendmuaythai02.jpg

มีคำถามว่า พหุยุทธ์มวยไทย แตกต่างจาก มวยไทยไชยา อย่างไร?
..พหุ ยุทธ์มวยไทย ต้องการให้เป็น ศิลปศาสตร์แห่งการเอาชนะตนเอง ในการสร้างสุขภาวะสำหรับคนไทย (การบริหารกายและจิต) ซึ่งใช้การเคลื่อนไหวเพื่อการประสมประสาน ร่างกาย+จิตใจ+ท่าไหว้ครูและท่ารำมวยไทย..ทำให้เกิด ความเข้มแข็งและปลูกฝังจิตสำนึกไทย ให้คนไทยสามารถรักษาตนเองและรักษาชาติไทย..ส่วน มวยไทยไชยา เป็นศิลปะศาสตร์การต่อสู้ป้องกันตัว ที่พัฒนารูปแบบขึ้นโดยพ่อท่านมา แห่งเมืองไชยา ซึ่งว่ากันว่าท่านเคยเป็นถึง ขุนศึกจากพระนคร ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยอาจเป็นต้นทาง ของ มวยไทยสายใต้ เมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว.. (หรืออาจแตกแขนงจากมวยไทยสายใต้ เนื่องจาก เมืองสงขลา เมืองพัทลุง และเมืองนครศรีธรรมราช มีการตั้งถิ่นฐานของคนไทย มานานและมีท่าต่อสู้ที่ใช้การ ฉัด ปล้ำ ฟัด ทุ่ม ทับ จับ หัก เช่นเดียวกับ มวยไชยา )


มีความเข้าใจผิดเรื่อง มวยไทย ว่า เป็นกีฬาที่ส่งเสริมความรุนแรงและมีอันตรายมาก ?
...ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจ คำ สองคำ คือ กีฬา และ มวย.." กีฬา(sports)" เป็นส่วนย่อยของ เกมส์(games)..เป็น การละเล่น ออกกำลังกาย ที่มุ่งส่งเสริม สุขภาพทางกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม โดยมีกฏ กติกา ข้อกำหนดชัดเจน ..มี ๒ ลักษณะ คือ การเล่นกีฬา และการแข่งขันกีฬา ในเมืองไทย เราแยกเป็น กีฬาพื้นบ้าน กีฬาไทย กีฬาสากล..และแบ่งเป็น กีฬาในร่ม กับ กีฬากลางแจ้ง หรือ กีฬาที่มีการปะทะตัวกัน กับ กีฬาที่ไม่ปะทะตัวกัน ..ส่วน" มวย "..เป็น กีฬาชนิดหนึ่งที่มีการปะทะตัวกัน ..อันนี้ มีหลายมวย เช่น มวยสากล(Inter boxing) มวยไทย(Muaythai) มวยปล้ำ(Wrestling)..ซึ่ง แต่ละอย่างก็มี กฏ กติกา ไม่เหมือนกัน..การเล่นกีฬา มีจุดประสงค์ให้เกิดสุขภาพ กาย ใจ อารมณ์ สังคมที่ดี..และในการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น ก็มีจุดประสงค์ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดโทษร้ายแรง..แต่ ด้วยกิเลศของมนุษย์..ก็อาจทำให้เกิดความไม่ดีไม่งามขึ้นในลักษณะต่างๆ..เค้า เรียกว่า ยังไม่พัฒนาครับ..ซึ่งปัจจุบันนี้ คนไทย และชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่ ยังมีมุมมองเฉพาะความน่ากลัว ของ มวยไทย จึงทำให้ มวยไทยแพร่หลายในวงแคบๆ..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีคิด วิธีจัดการแข่งขันที่ลอกเลียนแบบจาก ชาวตะวันตก ที่มุ่งหวังกำไรจากการทำธุรกิจการต่อสู้ด้วยการแอบอิงการขาย และการตลาด จากลักษณะการต่อสู้ของแต่ละชนชาติ ที่มีความแปลกแตกต่างกัน..จึงยิ่งทำให้สร้างภาพความรุนแรงของกีฬามวยยิ่ง ขึ้น..อันนี้เป็นการทำลายคุณค่าของ ความเป็นมนุษย์ ที่ร้ายแรง อย่างที่สุด..
มีผู้หญิงไทย บางคน ถามว่า มวยไทย เหมาะกับ ผู้หญิง มั้ย?
..ผมเลยช่วยตอบกลับไปว่า.. “ อีหนูเอ๋ย..ลุงว่า มวยไทย เป็นวิชาความรู้ภูมิปัญญาของคนไทยนะ..หนูเป็นคนไทย ต้องเรียนของไทยก่อนเหอะ..เหมือนที่หนูพูด อ่าน เขียนไทย ก่อนที่จะเรียนพูดอ่านเขียนอังกฤษ..และถ้าหนูเข้าใจ เข้าถึง มวยไทย หละก็..ไอ้วิชาต่อสู้ป้องกันตัวอื่นนะแค่ จิ๊บ จิ๊บ จร้า..และฟามจิง การฝึกมวยไทยไม่ได้หนักหนาสาหัส รึ เจ็บปวดอันใด ดอกนะ..ฝึกไหว้ครู ฝึกรำมวย ฝึกชกลม เล่นเชิง เนี่ย มันง่ายฝ่าฝึกแดนซ์เป็นไหนๆ..ถ้านู๋อยากฝึกละก็เด๋ว ลุง จัดให้..”
...เมื่อก่อนผมไม่ค่อยเข้าใจ มวยไทย มากนัก แม้ว่า จะเคยฝึก มวยไทย และ กระบี่ กระบอง มาจากหลายครู ทั้งแบบโดยตรง และโดยอ้อม (อาทิ คุณพ่อเขียน ชัยกูล, คุณครูครื้น อรัญดร, คุณครูขุนเหี้ยม ลูกเพชรเกษม, คุณครูแสวง ศิริไปล์, คุณครูวิชิต ชี้เชิญ, คุณครูพินิจ ประหยัดทรัพย์, คุณครูสงวน มีระหงษ์,คุณครูจรวย แก่นวงษ์คำ ฯลฯ ) ตลอดจนจาก ประสบการณ์การชกบนเวที (เวทีมวยสมัครเล่นและ เวทีภูธร ไม่กี่ครั้ง..)
....จนเมื่อได้ ศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติม จาก การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว อื่นๆ อีกหลายแขนง อาทิ มวยสากล จาก ครูนอง เสียงหล่อ , ครูสืบ จุณฑะเกาศลย์, ครูลือชา สุบรรณพงศ์, ยูโด และ ไอกิโด จาก ครูปรีชา ตันจริยานนท์ และการได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่รักและสนใจมวยไทย และศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวหลายท่าน ตลอดจนจากการติดตามศึกษาจาก การชกมวยไทยเวที ในช่วง สามสิบกว่าปี มานี้..และเมื่อได้ลองรวบรวม ท่าการฝึก แม่ไม้มวยไทย ต่างๆ เพื่อจัดทำเป็น แบบฝึกพหุยุทธ์มวยไทย สำหรับการสร้างสุขภาพ โดยมีความคาดหวังว่า เราคนไทย ควรจะมีท่ารำมวยไทย ไว้สร้างเสริมสุขภาพ มากกว่า มวยไท้เก๊ก หรือ มวยหย่งชุน/หวิงชุน กังฟู หรือ โยคะ ก็รู้สึกเกิดความประหลาดใจ ในการเปลี่ยนแปลงในตนเอง หลายอย่าง....ซึ่งเมื่อนำไปเทียบเคียงกับ หลายท่าน แล้วเกิดความอัศจรรย์ใจ ใน ฤทธิ์เดชของ มวยไทย..เพราะ เมื่อเราฝึกมวยไทยแล้ว..กลับกลายเป็นว่า เราเองกลับถูก มวยไทย ควบคุมไว้...
....อันนี้ นับว่า เป็นมหัศจรรย์ของมวยไทย..ได้หรือไม่?
พหุยุทธ์มวยไทย
จิตวิญญาณ มวยไทย (Soul of Muay Thai Martial Arts)
จิตวิญญาณมวยไทย ที่ผมได้ศึกษาเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์มา คือ ความสง่างาม Smartness , ความแข็งแกร่ง Strength , ความเรียบง่ายSimplicity และ ความมีไมตรีจิต Smiling ครับ..
แต่ สิ่งที่เป็น จิตวิญญาณมวยไทย ที่สามารถรับรู้ได้ชัดเจนที่สุดว่า นักมวยไทย คนนั้นเข้าถึงมวยไทยได้จริงหรือไม่? คือ ความสง่างาม ความร่าเริง และ ความเป็นมิตรซึ่งจะเห็นได้จาก บัวขาว ป.ประมุข นั่นเอง
ขั้นตอนและการฝึกศิลปะพหุยุทธ์มวยไทย
1.การฝึกซ้อมที่เน้นการเสริมสร้างพื้นฐานของร่างกาย,การเคลื่อนที่ เคลื่อนไหว,การหายใจ
2.การฝึกซ้อมที่เน้นการเสริมสร้างพื้นฐานของจิตใจ,ความเข้าใจตน,ความเบิกบาน,ความมีไมตรีจิต
3.การฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้มวยไทย ได้แก่
- ท่าไหว้ครู
- ท่ารำมวย
- ชกลม เล่นเชิง
- แม่ไม้-ลูกไม้
- ลูกรับ-ลูกโต้
- ลูกกัน-ลูกแก้
- ไม้เด็ด-ไม้ตาย
4.รูปแบบการฝึก ได้แก่
การฝึกคนเดียว,ฝึกกับอุปกรณ์,ฝึกกับคู่ซ้อม,การประลอง,การแข่งขัน,การต่อสู้กับตนเอง
5.กายคตานุสติมวยไทย คือ
การประสมประสาน ร่างกาย จิตวิญญาณ และพหุยุทธ์มวยไทย ให้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การฝึกกระบวนท่า พหุยุทธ์มวยไทย
๑.ขั้น เตรียมตัวเตรียมใจ ประกอบด้วย ชุดแต่งกาย,สถานที่-อุปกรณ์,เวลา,อารมณ์ และควรมีการนวดถูตัว แบบ๘๔,๐๐๐ขันธ์ด้วยน้ำมันว่านก่อน ฯลฯ
๒.ขั้นประกอบอิริยาบถ ประกอบด้วย มนตร์บริกรรม,ท่าอัญเชิญเทวดา,ท่าสะกดทัพ,ท่าเทพพนม,ท่าปฐม ท่าเปิด-ปิด
บัวบาน ,ท่าคชกราน ,ท่าเสือลากหาง,ท่าลดล่อ ฯลฯ
๓.ขั้นฐาน ธาตุ ๔ ประกอบด้วย ท่านั่งสำรวม,กอบพสุธา,นาคาพ่นน้ำ,เบิกประตูลมซ้าย-ขวา,
ท่าคันฉ่องส่องทางฯลฯ
๔.ขั้นสักการะ ประกอบด้วย ท่าอัญเชิญ ท่ากราบเบญจางคประดิษฐ์ ท่าถวายบังคม ท่าขึ้นพรหมฯลฯ
๕.ขั้น ประชุมพล ประกอบด้วย ท่ากากบาท ท่ายักษ์ ท่าลิง ท่าเสือลากหาง ท่าหงส์เหิร ท่ายูงรำแพน ท่าพยัคฆ์ด้อมกวาง ท่าฤาษีส่องกล้อง ท่าย่างสามขุม ท่าตั้งศอก ต่อศอก ท่าพันหมัดพันมือ ท่าสอดสร้อย ท่าสาวไหม ท่าปั้นลม ท่าลับหอกโมกขศักดิ์ ท่ากวางเหลียวหลัง ท่าน้าวศร ท่าแผลงศร ท่าจักรนารายณ์ ท่าบังสูรย์ ท่าปักลูกทอย ท่ากรายทวน ๘ ทิศ ท่าอาชาสุขเกษม ท่าสอดสร้อย ท่าเมฆขลาล่อแก้ว ท่าหนุมานแหวกเมฆ ท่าแม่ธรณีบีบมวยผม ฯลฯ
๖.ขั้นมหิทธานุภาพ ประกอบด้วย ท่าเหวี่ยงควาย ท่าหนุมานถวายแหวน ท่าตาเถรค้ำฟัก ท่าทะแยค้ำเสา
ท่าบาทาลูบพักตร์ ท่ามอญยันหลัก ท่าเถรกวาดลาน ท่าทัดมาลา ท่าพุ่งหอก ท่าเหน็บกริช ท่าญวนทอดแห ท่าไกรสรข้ามห้วย ฯลฯ
๗.ขั้นสัมฤทธิ ประกอบด้วย ท่าบั่นเศียรทศกรรฐ์ ท่าจระเข้ฟาดหาง ท่ากงล้อนารายณ์ ท่าม้าดีดกระโหลก
ท่าหนุมานทะยานชล ท่าฤาษีบดยา ท่าช้างประสานงา....
หมายเหตุ
1. การฝึกนี้บ้างก็เป็นลำดับตามขั้น บ้างก็ประสมประสานไปตามจังหวะกาย+จิต
2. ควรใช้กำลังที่กลมกลืนพอเหมาะที่มีทั้งช้า เร็ว เบา หนัก
3. สิ่งที่สำคัญ คือ การกำหนดเป้าหมาย ที่ผนวกการจัดท่าป้องกันพร้อมไปกับการโจมตีให้ชัดเจน
4. เมื่อเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว ควรค่อยๆเพิ่มอุปกรณ์น้ำหนักที่พอเหมาะเพื่อให้ร่างกายพัฒนาไปสู่
ภาวะกลมกลืนแต่แข็งแกร่ง
5. การ กำหนดขั้นตอน และการตั้งชื่อเหล่านี้ ผมกำหนดขึ้นเอง เพื่อการแยกหมวดหมู่ ตามคุณลักษณะของระดับประสิทธิภาพของท่าต่างๆ และ ชื่อท่า บางท่าอาจไม่ต้องตรงกันกับที่แต่ละปรมาจารย์ได้กำหนดไว้เดิมเนื่องจากแต่ละ ท่าน มีเคล็ดวิชาสำคัญประกอบอยู่ในชื่อท่า ไม่เหมือนกัน แต่หากเป็นท่าแม่ไม้ ลูกไม้หลักซึ่งได้กำหนดไว้มาแต่ครั้ง รัชกาลที่ ๓ จะยังคงใช้ชื่อท่าเหล่านั้นไว้ซึ่งบางชื่ออาจตัดทอนให้สั้นลง
6.ขั้นของการฝึกอาจมีได้ถึง ขั้น ๘.สยบมาร และ ขั้น ๙ สราญรมย์ แต่เนื่องจากยังมีข้อจำกัดจึงมิได้ให้รายละเอียดไว้

พหุยุทธ์มวยไทย

.

ลืมตาตื่น คืนหนึ่ง รำพึงคิด..
โอ้ ..ชีวิต คนเรานั้น สั้นแค่ไหน..
ทำความดี ไว้เพื่อฝาก ก่อนจากไป..
อย่าให้ใคร ว่า ตายเปล่า เจ้าเกิดมา ..
.. ตัวเรา เปรียบได้แค่ เศษธุลี..
เป็นอนุพันธ์ ของชีวี ที่ด้อยค่า ..
ในเศษส่วน ความโศกศัลย์ วันเวลา..
อาจเพิ่มพูน ปัญญา คุณค่าจริง ..
... อยุธยา เคยยิ่งยง มั่นคงก่อน
ถูกบั่นทอน จากคนใน ใจผีสิง
เมื่อศึกนอก ถั่งโถม โจมเข้าจริง
ก็ถึงครา ล้มกลิ้ง ลงกลางเมือง
ครั้งอยุธ- ยา ล่ม ระทมนัก
แต่ไทยรัก ชาติมิสูญ จึงหนุนเนื่อง
ก่อกรุงเทพ มหานคร อมรเมือง
นี่คือเรื่อง เล่าขาน ลูกหลานไทย
มีเกิดแล้ว มีดับ ปรับเปลี่ยนแปร
ประวัติศาสตร์ อาจไม่แน่ แท้ใช่ไหม ?
วันก่อนมี วันนี้เล่า อย่าเบาใจ
รักชาติไทย จงสมัคร สามัคคี...


ศิลปะ ป้องกันตัวของมนุษย์ มีที่มา และ มีผู้คิดค้นพัฒนา ต่อๆกัน..ศิลปะป้องกันตัว ชนิดใด ที่มี ผู้นิยมศึกษาเรียนรู้ แสดงว่า ศิลปะป้องกันตัว ชนิดนั้น มีคุณประโยชน์ มีระเบียบวิธี ชัดเจน ในการถ่ายทอด และนำไปใช้ ซึ่งผู้คิดค้นพัฒนา ประสงค์ให้มีการสืบทอดภูมิปัญญาไว้..ที่สำคัญคือ การศึกษาประวัติความเป็นมาของ ศิลปะป้องกันตัว แต่ละชนิด จะทำให้เข้าใจวิธีคิด หลักปรัชญา หรือ จิตวิญญาณ ของ ศิลปะป้องกันตัว ชนิดนั้น ได้ง่ายขึ้น ทำให้ สามารถบรรลุประสิทธิภาพ ของ การนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ของ ผู้คิดค้นพัฒนา..อันนี้มาจากความเข้าใจของผมเองและจากการที่ได้ศึกษาเรียน รู้ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวต่างๆ จากครูบาอาจารย์ มาหลายชนิด..
...ศิลปะ การต่อสู้ ของมนุษย์ มีวิวัฒนาการ มาจาก การใช้ชีวิต ที่ต้องเผชิญกับ ความโหดร้าย และความหวาดกลัว จนตกผลึกเป็นศิลปศาสตร์ ที่ซับซ้อน และ มีประสิทธิภาพ ในปัจจุบัน.... ...วิชาความรู้ใด ย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง..ความรู้ใด เพียงรู้เข้าใจ ไม่นำมา ปฏิบัติ ประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์ แก่ตน และ ผู้อื่น..คงไม่มีความหมาย..เช่นเดียวกับ..วิชาการต่อสู้ ซึ่งเป็นทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์ อันผู้ที่เป็นบุรพาจารย์ ได้คิดค้น และ พัฒนาไป ในแต่ละช่วงๆ..ย่อมมีทั้ง จุดอ่อน จุดแข็ง เพื่อให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ศึกษา..ในการปรับใช้ ให้ถูก จังหวะ โอกาส และ สถานการณ์..เคล็ดวิชาที่สำคัญ ของ ศิลปะการต่อสู้ แต่ละแขนง อาทิ ยิวยิตสู(ยูโด) ..ไอคิโด เทควันโด คาราเต้โด กังฟู มวยลายลาว หรือ..มวยไทย..คือ..อะไร?ทราบไหม?..ลองตรองให้ดี..แล้วจะเข้าใจถึงจิตใจของ ปรมาจารย์แต่ละ..ท่าน..แต่ละสาย...
..หน้าที่สำคัญของผู้ใหญ่ คือ การสืบทอด และ พัฒนา มรดกภูมิปัญญา ที่ทรงคุณค่าดีงาม ไว้ให้แก่ ลูกหลาน..พหุยุทธ์มวยไทย คือ สุดยอดมรดกภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่สั่งสมมานานนับพันปี..เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกาย จิตใจ และ จิตวิญญานความเป็นไทย..โดยหวังจะให้ลูกหลานไทยทุกคน มีความถึงพร้อม ในการรักษาตน รักษาชาติไทย ไปจนชั่วกาลปาวสาน...
ผมเคยเจอ คำถาม จากเด็กๆ หลายครั้งว่า จากการศึกษา ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาติไทย รู้สึกได้ถึง ความกล้าหาญ เสียสละ ของบรรพบุรุษในอดีต ทำให้สงสัยว่า ทำไม คนสมัยก่อน ถึงได้กล้าหาญชาญชัยนัก ?..ตัวผมเอง ก็เคยนึกแปลกใจ บางทีก็รู้สึก เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ในเรื่องราวต่างๆ ในประวัติศาสตร์..แต่เมื่อได้ วิเคราะห์ ค้นคว้า รวบรวมข้อมูลแล้ว พอจะมองเห็น เค้าลางของคำตอบนี้..คือ
กระแสของ วิถีชีวิตไทย ที่ประกอบไปด้วย ความสามัคคีผูกพัน ของ ชาวบ้านส่วนใหญ่ ต่อ ผู้นำ ซึ่งเป็น คนดี มีปัญญา ในแต่ละช่วง แต่ละกาล..ทำให้ก่อเกิด ภูมิปัญญา(ศิลปศาสตร์) ที่เป็น สาระประโยชน์ ต่อการดำรงชีวิต และ หนึ่งในนั้น คือ วิชาการต่อสู้ป้องกันตัว ซึ่งรวมเอา ศิลปศาสตร์แห่ง มวยไทย เข้าไว้ด้วย..ทำให้สมัยก่อน มี คนเป็นมวย อยู่มาก..ไม่เหมือนกับ ปัจจุบัน..
...ศิลปะ การต่อสู้ป้องกันตัว แบบมวยไทย ในยุคที่เริ่มมีการแข่งขันชกมวย ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จะกล่าวถึง จุดเด่น ของนักมวยที่มาจาก ๔ ภาค ได้แก่ มวยโคราช มวยท่าเสา มวยลพบุรี มวยไชยา และมวยพระนคร ซึ่งผมพยายามจำแนกลักษณะเด่น ที่เรียกว่า ทางมวย ได้พอสังเขป คือ
..มวยพระนคร เป็นมวยที่มีสังกัดและมีประสบการณ์เรียนรู้จากชาวต่างชาติ มีน้ำเลี้ยง มี
วิธีฝึก และวิธีชก ดี

..มวยไชยา มีการถ่ายทอดกลวิธีต่อสู้ในเชิงรับ รุก ที่มีรูปแบบซึ่งซับซ้อน ใช้ชั้นเชิง และ
สติปัญญา เป็นหลัก เชิงรับ ของมวยไชยา มักใช้ความคล่องแคล่ว ในการเข้าประชิด แก้ไขสถานการณ์

..มวยลพบุรี มีการฝึกที่เน้นการประสมจิต และการฝึกที่เน้นการเคลื่อนที่อันองอาจ รัดกุม
มีศอก และ ถีบ เป็นไม้เด็ด

..ส่วน มวยท่าเสา ใช้ท่าคุมที่มั่นคง มักใช้อาวุธเข่า และลูกแก้ที่หนักหน่วงตอบโต้
..และ มวยโคราช อาศัยท่าคุมที่ยืดตรง สุขุม มีลูกอดทน ห้าวหาญ ชอบเดินก้าวสืบเท้านำเข้าแลก
มีหมัดเหวี่ยงควาย และ การเตะ ที่หนักหน่วง เป็นอาวุธสำคัญ..

แต่ ในปัจจุบันนี้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาวิธีการต่อสู้ของมวยไทยกว้างขวางมากขึ้น จากการเฝ้าติดตามดูการชกมวยไทยอาชีพ ผ่านเวทีถ่ายทอดทางทีวี..สังเกตุว่า มวยที่มีภูมิลำเนาเกิดใน ภาคกลาง ไม่ว่าจะไปอยู่ค่ายไหน..ใจไม่นิ่ง..ดีต้นยก..มวยภาคเหนือ เน้นลูกแข็งแรง เดินแลก ชอบทวนเชิงคู่ชก..มวยภาคใต้ ชอบใช้ชั้นเชิง มาดดี แต่ ลูกแก้ และ ใจ ยังขาดๆ เกินๆ..ส่วนมวยภาคอีสาน และ ภาคตะวันออก ดีขึ้นมาก ทั้ง รูปแบบ จิตใจ ความพร้อมของร่างกาย.. และที่แปลกมาก คือ ฝ่ายที่มีเทรนเนอร์ ที่มาจาก ยอดมวยไทยในอดีต ส่วนใหญ่ มักจะ แพ้..ไม่ทราบว่า เพราะสาเหตุอะไร?..
..ผมรู้สึกทึ่งทุกครั้ง ที่เห็น คนจีนโพ้นทะเล ฝึกมวย ไท้เก๊ก ในตอนเช้า/เย็น..โดยเฉพาะผู้สูงอายุ..คุณแม่ของผม ซึ่งมีเชื้อสาย จีน/ไทย ก็ฝึก(ปัจจุบันท่านอายุ ๘๑ ปี)..เห็นท่าน แข็งแรง..สดชื่น..แล้วดีใจ..คุณพ่อผม ท่านเป็นไทยแท้..ผมเคยเห็นท่านซ้อม ชกลม เล่นเชิง มวยไทย มาตั้งแต่ ผมยังเล็ก..ท่านชอบแขวนถุง/กระสอบ ไว้ใต้ถุนบ้าน เพื่อให้ลูกๆ เตะ ต่อย..แต่พออายุมาก ท่านหยุดเตะ ต่อย ชกลมแบบมวยไทย..คงเหนื่อย..
..ทำอย่างไร? ที่เราจะสามารถนำ แม่ไม้มวยไทย มาประกอบกับ การฝึกสมาธิแบบเคลื่อนไหว แบบชาวพุทธ..ผมเคยประสมการฝึก แบบนี้..และขออนุญาตบัญญัติศัพท์เรียกว่า...กายคตานุสติมวยไทย..